วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อาเกิดที่ชอบเกิดขึ้นกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 เดือน

อาเกิดที่ชอบเกิดขึ้นกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 เดือน
Picture
อาเกิดที่ชอบเกิดขึ้นกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 เดือน
ตั้งแต่การตั้งครรภ์ จนถึงหลังคลอด คุณแม่มือใหม่อาจกังวลกับอาการต่างๆ ที่อาจเกิดกับลูกน้อย แต่บางอาการก็ถือเป็นอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้  มาดูอาการที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กแรกเกิดและหาทางรับมือกันดีกว่า

อาการสะอึก

      ถือว่าเป็นอาการปกติ สามารถเกิดขึ้นได้จากการดูดนมมากหรือเร็วเกินไป แก้ไขด้วยการจับอุ้มพาดบ่าหรือจับนั่งไล่ลม


อาการสะดุ้ง ผวา
      อาการปกติที่เกิดขึ้นได้ แทบจะเป็นกับเด็กทุกคน แนะนำให้นอนตะแคงลดการผวา และยังทำให้หัวสวยด้วย หรือนำผ้าห่มพาดตัวไว้

  อาการแหวะนม
      เนื่องจากในเด็ก หูรูดกระเพาะอาหารยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ลูกแหวะนมได้ ควรจับลูกเรอด้วยการอุ้มพาดบ่าหรือนั่งทุกครั้งหลังกินนม ให้กินนมทีละน้อยอย่ามากเกินไป หลังกินนมอย่าเพิ่งจับนอนราบในทันที

ลิ้นขาว

      เนื่องจากลูกน้อยทานแต่นม จึงอาจเกิดฝ้าขาวที่ลิ้นได้ ถ้าเป็นเด็กนมแม่ล้วนๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรค่ะ แต่ถ้ากังวลมาก ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ

ผื่นผ้าอ้อม
      เกิดจากความชื่นจากการใส่ผ้าอ้อมหรือแพมเพิสนานเกินไป หรืออาจจะแพ้แพมเพิส ควรให้ผิวของลูกแห้ง อย่าปล่อยให้ชื้นนาน

  ท้องผูก
       เด็กนมแม่ล้วน ไม่จำเป็นต้องถ่ายทุกวันนะคะ เพราะนมแม่ย่อยง่ายลูกดูดซึมได้หมดไม่เหลือกากให้ขับถ่ายออกมา ส่วนเด็กที่กินนมผสมหากท้องผูกปรับลดวิธีการชงให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

คุณแม่สวยอย่างไรปลอดภัยลูกในครรภ์

คุณแม่สวยอย่างไรปลอดภัยลูกในครรภ์
สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ที่อยากสวยแบบปลอยภัยกับลูกในครรภ์ เรื่องความสวยความงามเป็นของคู่กันกับผู้หญิง เป็นเรื่องที่ขาดกันไม่ได้ค่ะ แม้ว่าคุณกำลังอยู่ในฐานะว่าที่คุณแม่คนใหม่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เสื้อผ้า หน้า ผม ผิวพรรณ ก็ต้องดูแลอยู่สมำเสมอ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์ด้วยว่าแล้วอะไรบ้างที่ว่าที่คุณแม่ทำได้ทำไม่ได้ ในการดูแลตัวเอง มาดูกันค่ะ
Picture

ทำสีผม
ว่ากันว่าการทำสีผมขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เจ้าตัวน้อยได้รับสารเคมีที่อยู่ในน้ำยาทำสีผม จริงหรือไม่มีงานวิจัยที่แน่ชัด แต่ทั้งนี้หากต้องการจะทำ ควรรอให้เข้าสู่ไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์เสียก่อน เพราะเป็นช่วงที่อวัยวะของทารกในครรภ์พัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว หรือเพื่อให้ปลอดภัยกว่านั้น อาจเลือกทำเพียงไฮไลท์ แทนการย้อมสีผมทั้งหมด เพราะการทำไฮไลท์ น้ำยาเคมีไม่ต้องสัมผัสกับหนังศีรษะของว่าที่คุณแม่ ดังนั้นสารเคมีจึงมีโอกาสสู่กระแสเลือดน้อยกว่า แต่ทั้งนี้อย่าลืมนะคะว่า ควรรอให้ผ่านช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เสียก่อน

ดัดผม
ความกลัวที่ว่าน้ำยาดัดผมจะส่งผลถึงลูกน้อยในท้องนั้นยังไม่มีการศึกษาที่พบว่า น้ำยาดัดผมส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ ยกเว้นเสียแต่กลิ่นที่ค่อนข้างแรงของน้ำยาดัดผม ที่อาจทำให้คุณแม่รู้ว่าคลื่นไส้ เวียนหัวได้ อีกปัญหาหนึ่งก็คือ การดัดผมขณะที่ตั้งครรภ์ ซึ่งสภาพผมของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ผมที่ดัดออกมา ไม่ได้ทรงตามที่ตั้งใจ แต่หากคุณกังวล และกล้าๆ กลัวๆ เพื่อความสบายใจ รอให้คลอดก่อนค่อยดัดผมทรงใหม่ก็ไม่สาย จริงไหมคะ

นวดตัว
การนวดในระหว่างตั้งครรภ์ชช่วยให้คุณแม่ รู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีทั้งยังกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการปวดเมื่อยต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือผู้นวด หรือเธอราพิส ควรมีความรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ และควรเลือกใช้น้ำมันนวดที่ปราศจากกลิ่น เพราะจะช่วยลดอาการต้องการเข้าห้องน้ำบ่อยๆ

ฟอกฟันขาว
ยังไม่เคยมีการศึกษาถึงความปลอดภัยของการฟอกฟันขาวในขณะตั้งครรภ์ ดังนั้นว่าที่คุณแม่ที่คิดจะฟอกสีฟันในช่วงนี้ อาจจะต้องยับยั้งใจไว้ก่อนค่ะ นอกจากนี้เหงือกของคุณอาจมีความไวเป็นพิเศษทำให้เลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังตั้งครรภ์ และเกิดคิดอยากจะฟอกฟันให้ขาว รอหลังคลอด จะปลอดภัยกว่านะคะ

ทำเล็บ
ยินดีด้วยค่ะ เพราะการทำเล็บไม่ว่าจะเล็บมือหรือเล็บเท้า ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และสามารถทำได้ในทุกช่วงของการตั้งครร์ อีกทั้ง มีการศึกษาพบว่ายาทาเล็บแม้จะมีส่วนผสมของสารเคมี แต่ก็ไม่สามารถถูกดูดซิมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเล็บได้ ทั้งยังไม่พบว่ายาทาเล็บส่งผลต่ออาการพิการแต่กำเนิด อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบบ่อยในการทำเล็บสำหรับว่าที่คุณแม่คือ คุณอาจมีอาการเวียนหัว คลื่อนใส้ หากอากาศภายในร้านไม่มีการถ่ายเทที่ดี ดังนั้น หากเป็นไปได้ควรเลือกนั่งใกล้ประตูหรือหน้าต่าง เพื่อไม่ต้องสูดดมกลิ่นของน้ำยาต่างๆ มากเกินไป

ติดเล็บอะคริลิค
นอกจากกลิ่นที่ค่อนข้างแรงของน้ำยาทำเล็บแล้ว ผลเสียของการติดเล็บอะคริลิกโดยตรงต่อการตั้งครรภ์นั้นยังไม่พบ แต่มีความเป็นไปได้ว่าการติดเล็บอะคริลิค อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดอาการแพ้ เป็นเชื้อรา หรือติดเชือแบคทีเรีย ไม่ว่าคุณจะตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ เล็บของว่าที่คุณแม่จะแข็งแรงขึ้นมากในช่วงนี้ จนคุณอาจพบว่าการปล่อยให้เล็บสวยงามตามธรรมชาติบ้าง ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดเชื้อทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาดูแลอีกด้วย

บ่อน้ำร้อน จากุซซี่ และห้องเซาน์น่า
มีการศักษาที่พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิการแต่กำเนิดของทารก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการแช่บ่อน้ำร้อน จากุซซี่ รวมทั้งการอบตัว และซาวน่าแต่การแช่อ่างน้ำอุ่นที่บ้านซึ่งอุณหภูมิของน้ำไม่สูงมากนัก เป็นเรื่องที่ทำได้เพราะแขน หัวเข่า และไหล่ ของคุณมักอยู่พ้นระดับน้ำ ทำให้อุณหภูมิโดยรวมไม่ขึ้นสูงจนถึงระดับอันตรายเมื่อเที่ยบกับจากุซซี่หรือบ่อน้ำร้อน ที่คุณต้องลงไปแช่ทั้งตัว

นวดหน้า
คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งขณะตั้งครรภ์ ไม่มีใครคาดเดาได้ค่ะว่าผิวของคุณจะเปลี่ยนไปเช่นไรขณะกำลังมีน้อง หลายคนผิวเปล่งปลั่งขณะที่อีกหลายคนกลายเป็นฝ้า มีกระขึ้นเต็มหน้าไปหมด การนวดหน้าจึงเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยปรับสภาพผิวให้ว่าที่คุณแม่ได้ แต่ทั้งนี้ ควรตระหนักว่าผิวของคุณจะบอบบางมากในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงการกรอผิวด้วยผงคริสตัล และการผลัดเซลล์ผิว หากคุณเลือกที่จะนวดหน้า ควรเลือกครีมนวดหน้าที่มีกลิ่นไม่แรงมากนัก และควรหาหมอนใบเล็กๆ ไว้รองหลัง เพื่อที่แผ่นหลังของคุณจะได้ไม่ต้องนอนราบลงกับเบาะหรือเก้าอี้นวดหน้าเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ทำให้คุณมีอาการเวียนหัวได้

แว๊กซ์
บรรดาขนต่างๆ ล้วนเป็นศัตรูอย่างหนึ่งของสตรีเพศค่ะ ไม่ว่าจะขนรักแร้ ขนเหนือริมฝีปาก ขนหน้าแข้ง การแว๊กซ์จึงเป็นทางออกที่ง่าย และเร็ว ซึ่งหากคุณคุ้นเคย และทำมาก่อนที่จะตั้งครรภ์ คุณก็สามารถทำต่อไปได้ แต่ควรระมัดระวังเรื่องสุขอนามัย หากไปทำที่ร้านก็ควรเลือกร้านที่มั่นใจในเรื่องความสะอาด อย่างไรก็ตาม หากคุณแว๊กซ์ในช่วงใกล้คลอด อาจทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัว ซึ่งไม่ค่อยปลอดภัยนักหากคุณยังตั้งครรภ์ไม่ครบ37 สัปดาห์ รวมทั้งผิวของคุณแม่อาจมีการระคายเคืองมากขึ้นในช่วงนี้จึงควรระมัดระวังด้วย

แต่งหน้า
คนงามเพราะแต่ง  คุณแม่ที่แต่งหน้าอยู่เป็นประจำอาจลืมที่จะคำนึงถึงผลกระทบจากการใช้เครื่องสำอางต่อลูกน้อยในครรภ์ มาดูกันก่อนดีกว่าว่าเครื่องสำอางที่คุณใช้นั้นปลอดภัยจริงหรือเปล่า ผลิตภัณฑ์บางชนิดระบุว่า noncomedogenic หรือ nonacnegenic ซึ่งหมายความว่าปราศจากนํ้ามัน และไม่อุดตันรูขุมขน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ใช้ได้ และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ แต่ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ retinol หรือ salicylic acid ซึ่งส่วนใหญ่พบในผลิตภัณฑ์รักษาสิว อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการให้ปลอดภัย 100%  

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ลูกไม่กินผัก

ลูกไม่ยอมกินผัก 
ทำอย่างไรเมื่อลูกไม่กินผัก
คุณแม่หลายคนคงกังวลใจเรื่องลุกไม่ยอมกินบัง ทั้งพยามบังคับให้ลูกกินบ้างล่ะแต่ทำอย่างไรลูกก็ไม่ยอมกิน เพราะคุณแม่ก็อยากให้ลูกรักได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่องสุขภาพของลูกเราิ วันนี้เรามีวิธีที่จทำให้ลูกกินผัก ทำอย่างไรบ้างดังต่อไปนี้
Picture
1. คุณแม่ต้องคอยสังเกตุว่าลูกชอบกินอะไรอาหารโปรดของลูกหลังจากนั้นก็ให้นำเอาผักลงไปผสมในอาหารที่ลูกชอบกิน
เช่น นำผักลงไปผสมกับน้ำปั่น หรือพิซซ่า แล้วแต่ว่าลูกชอบกินอาหารประเภทไหน
Picture
2. ครั้งแรกที่คุณแม่ให้ลูกกินผักลูกอาจจะยังไม่ยอมกิน แต่ต้องไม่เลิกล้มความพยาามให้นำผักมาผสมในเมนูอาหารทุกครั้งจะทำให้ลูกเกิดความเคยชินกับผัก และจะทำทำให้ลูกมีความชอบผักมากขึ้น
Picture
3. ให้ลูกช่วยเตรียมอาหาร พยามให้ลูกได้เห็นวิธีทำอาหารหรือให้เขามาช่วยทำอาาร พาเขาออกไปซื้อของด้วยไปเลือกซื้อผัก แล้วก็ให้เขาล้างผักที่ไปซื้อมาเขาอาจจะเกิดความชอบอยากลองกินผักที่ตัวเองเป็นคนเลือกแลเป็นคนล้างเอง
Picture
4. คุณแม่ต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นว่าผักน่ากินขนาดไหน ลูกก็จะเห็นตัวอย่างจากคุณแม่และ จะทำให้ลูกอยากลองกินดูว่ารสชาติของผักเป็นรสอย่างไรทำให้เขาอยากรู้ว่าทำไมคุณแม่กินทุกวัน
Picture
5. ไม่บังคับให้ลูกกินสิ่งที่เขาไม่ชอบ และทำให้ช่วงกินข้าวเป็นช่วงที่ทรมานสำหรับเด็ก เพราะมันอาจทำให้เขารู้สึกแย่เกี่ยวกับการกินผักและไม่ชอบเวลามื้ออาหาร                              

Picture
6. หลังทำกิจกรรมจนหมดแรง เด็ก ๆ ก็มักกินทุกอย่างที่ขวางหน้า นี่จึงเป็นเวลาดีที่คุณจะให้เขากินอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบ เช่นน้ำปั่นหรือแซนด์วิช
Picture
7. โรยหน้าหรือเสิร์ฟพร้อมดิพแสนอร่อย ราดหน้าผักด้วยเนยหรือซอสก็อาจช่วยเพิ่มรสชาติและสีสันให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น คุณอาจเสิร์ฟผักพร้อมดิพแสนอร่อยอย่างมายองเนสหรือน้ำจิ้มอื่น ๆ ที่ลูกชอบ
Picture
8. จัดจานให้สร้างสรรค์ เสิร์ฟผักสีสันสดใสคละกัน หั่นผักเป็นรูปร่างต่าง ๆ ตกแต่งด้วยมักกะโรนีรูปสัตว์หรือตัวหนังสือ เพื่อให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกสนุกและอยากกินผักมากขึ้น
Picture

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ฝึกสมองลูก

ฝึกสมองลูก
ฝึกสมองลูกรัก สมองส่วนความจำของคนเรานั้นสามารถพัฒนาได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยสูงอายุเลยทีเดียว ซึ่งวิธีพัฒนาสมองส่วนความจำสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
Picture
1.ฝึกให้ลูกเขียนหรือจดสมุดบันทึก คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกจดบันทึกเรื่องราวต่างๆลงในสมุดบันทึกเป็นประจำทุกวัน วิธีนี้จะช่วยฝึกทักษะเรื่องของภาษาในการเขียนและการลำดับเรื่องราวอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว ยังช่วยฝึกให้ลูกรู้จักการรวบรวมความคิดและฝึกการจดจำเรื่องราวต่าง ๆ        
Picture
2.เล่นเกมกับหรือลูกหาเกมที่พัฒนาความจำฝึกทักษะ  เช่น เกมครอสเวิร์ด เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมหาคำศัพท์ เกมบิงโก เกมต่อจิ๊กซอว์ เกมเหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำของสมองเป็นอย่างดีแล้ว        
Picture
    3.ส่งเสริมให้ลูกเล่นดนตรีหรือฟังเพลงเพลงการฟังเพลงจะทำให้เด็กจำเนื้อเพลงได้ช่วยเพิ่มความจำ ดนตรีเป็นสื่อที่นอกจากจะช่วยคลายเครียด พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการให้แก่เด็กแล้ว      
Picture
4.ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิเป็นวิธีการที่ดีมากอย่างหนึ่งในการช่วยเพิ่มพลังความจำอย่างได้ผล การทำสมาธิสำหรับเด็กเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องให้เขาฝึกจิตให้สงบด้วยการนั่งสมาธิเอามือประสานกันวางไว้ที่ตักแล้วท่อง การทำสมาธิสำหรับเด็กง่าย ๆ คือหมายถึงการที่เขาได้พักสงบกับตนเอง เช่น การที่เด็กได้นอนหนุนตักคุณพ่อคุณแม่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบสงบในเวลาประมาณ15นาที การฝึกสมาธิจะช่วยผ่อนคลายความเครียดและช่วยเตรียมให้สมองได้เปิดรับการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี
Picture
5.รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความจำ ให้ลูกได้ทานอาหารที่มีคุณค่าและช่วยเพิ่มความจำ เช่น ผัก ผลไม้ ซึ่งมีวิตามินบีสอง กรดโฟลิค ที่ช่วยป้องกันสมองเสื่อม นอกจากนี้ควรให้ลูกทานเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เพราะมีธาตุเหล็กที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายในเรื่องของความจำได้ 
Picture
6.การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของความจำของเด็กได้เป็นอย่างดี เพราะขณะที่เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าจะเดิน กระโดด วิ่ง จะส่งผลในการกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ทำให้สมองพร้อมที่จะเปิดรับต่อการจดจำในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ        
Picture
7.นอนหลับพักผ่อน คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกนอนอย่างน้อยวันละ7 ชั่วโมง และไม่ควรให้ลูกนอนเกินวันละ 9 ชั่วโมง เพราะการนอนมากทำให้ความตื่นตัวน้อยลงและทำให้ลูกเกิดความซึมเซา ซึ่งมีผลทำให้ประสิทธิภาพของความจำลดน้อย       
Picture

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อาหารบำรุงครรภ์
อาหารบำรุงครรภ์สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ รับประทานอาหารที่มมีประโยชน์  ทั้งคุณค่าทางอาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะช่วยไปบำรุงสมองลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ดังนั้นคุณก็ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยช์และมีคุณค่าทางอาหารที่สูง  
อาหารบำรุงครรภ์ มีดังนี้

Picture
อาหารบำรุงครรภ์ 


1. โปรตีน จะมีมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เช่น ปลา นม ไข่  รวมถึงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง เป็นต้น

2 คาร์โบไฮเดรต  พบในข้าว ขนมปัง ธัญพืช พาสตา ผลไม้ น้ำตาล และน้ำผลไม้สด

3.ธาตุเหล็ก: มีมากในงา ตับสัตว์ เนื้อแดง ไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ

4. ไอโอดีน เกลือเสริมไอโอดีน อาหารทะเล เช่น ปลาทะเล กุ้ง หอย ปลาหมึก สาหร่ายทะเล ฯลฯไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ

5.โฟเลต ช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท และไขสันหลังให้เจ้าตัวเล็กในครรภ์แหล่งโฟเลต พบมากในตับสัตว์ บร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม และแคนตาลูป

6.โอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเราสร้างเองไม่ได้ ช่วยบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำ และสายตา แหล่งโอเมก้า 3 :พบมากในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาโอ ปลาทู ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล ฯลฯ

7. วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมองลูก ถ้าได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้สมองของทารกมีขนาดเล็ก  แหล่งวิตามินบี 2  มีมากในนม ไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ และโยเกิร์ต

8. วิตามินบี 6 ช่วยในการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท
แหล่งวิตามินบี 6  พบมากในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง และกล้วย

9. วิตามินบี 12 ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม และช่วยให้การทำงานของสมองและประสาทให้เป็นปกติ
แหล่งวิตามินบี 12  พบมากในอาหารประเภท ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ นม และหอยนางรม

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของนมแม่

ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่นั้นถือเป็นเป็นอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงสุดต่อตัวลูกและตัวของคุณแม่เอง การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของลูกเราได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสารอาหาร ภูมิต้านทานโรค ความผูกพันระหว่างแม่และลูก ข้อดีของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีมากหมายหลายข้อ
น้ำนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ลูกต้องการสำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของการเริ่มต้นชีวิต เนื่องจากมีสารอาหารพิเศษที่เรียกว่าพรีไบโอติก ซึ่งเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ ช่วยส่งเสริมแบคทีเรียสุขภาพที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ  ในระบบทางเดินอาหารให้เจริญเติบโตดีจึงช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันตามธรรมชาติให้กับร่างกายเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ และส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหารที่ดีช่วยให้ทารกเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข สุขภาพดีและพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งรอบตัว และยังมีกรดไขมันที่ช่วยพัฒนาสมองของลูกด้วย

ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีมากมายขอยกตัวอย่างมา 10 ข้อ ดังต่อไปนี้
1.นมแม่เป็นสารอาหารที่มาจากธรรมชาติ ปลอดภัยต่อลูกของเราที่สุด   จะหานมอะไรที่ปลอดภัยและได้สารอาหารที่ร่างกายต้องการเทียบเท่านมแม่ไม่มีอีกแล้ว ต่อให้เทคโนโลยีของมนุษย์จะก้าวไกลไปแค่ไหน ก็ไม่อาจจะเลียนแบบนมสังเคราะห์ใดๆ หรือนมจากสัตว์อื่นๆ ที่ทั้งปลอดภัย และมีสารอาหารได้เสมอเหมือนนมแม่อีกแล้วในโลกนี้

2.เด็กที่เติบโตมาจากการกินนมแม่ แข็งแรงกว่าเด็กที่กินนมวัว   เพราะในน้ำนมแม่ทุกหยด กลั่นมาจากภายในร่างกายของแม่เอง ภูมิต้านทานต่างๆ ในตัวของแม่ จะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำนม เมื่อลูกได้กินนมแม่ก็จะได้รับภูมิต้านทานต่างๆ ไปด้วย ซึ่งนมวัวหรือนมสังเคราะห์อื่นๆ จะไม่มี ภูมิต้านทาน

3.ลดปัญหาลูกท้องผูกเพราะนมแม่นั้นย่อยง่าย ทำให้ลูกไม่ต้องทรมานกับอาการท้องผูก แต่หากลูกของเรากินนมวัวหรือนมประเภทอื่นจะพบปัญหาท้องผูกได้มากกว่า

4.ลดปัญหาเรื่องลูกอ้วนเกินไป  เคยเห็นเด็กทารกตัวอ้วนจ้ำหม้ำน่ารักใช่ไหมค่ะ แต่บ่อยครั้งเด็กแรกเกิดที่เราเห็นอ้วนจ้ำหม้ำน่ารักนั้นก็มีน้ำหนักตัวเกินมาตราฐาน สาเหตุมาจากการเลี้ยงลูกด้วยนมวัวหรือนมสังเคราะห์ชนิดอื่นๆ นั้นเอง ในขณะที่การ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น ลูกของเราจะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกินเลย น้ำหนักตัวของลูกจะเป็นไปตามมาตราฐานของเด็กในแต่ละวัยแบบธรรมชาติ

5.ลดโอกาสเกิดผื่นผ้าอ้อมน้อยกว่า   ผื่นผ้าอ้อมเกิดจากความอับชื้น และเกิดปฏิกริยาของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งกรณีที่เราเลี้ยงลูกด้วยนมวัวนั้น ของเสียของลูกจะมีเชื้อแบคทีเรียมากกว่า เมื่อมารวมกับความอับชื้น (จากการใส่ผ้าอ้อม) ผิวของลูกจะเกิดอาการ ผื่นแดงๆ (จึงเรียกว่าผื่นผ้าอ้อม) ซึ่งหากเราเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ ของเสียของลูกจะมีเชื้อแบคทีเรียน้อยกว่ามาก โอกาสที่ลูกจะต้องทรมานกับอาการผื่นผ้าอ้อมก็จะลดลงด้วย

6.สานสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก    การให้ลูกได้ดูดนมจากอกแม่เอง เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มีแต่แม่ที่เคยให้ลูกดูดนมจากอกตัวเองเท่านั้นถึงจะบรรยายความรู้สึก ความสุขใจ ที่เกิดขึ้นในตัวของแม่คนนั้นได้เอง นอกจากนั้นตลอดเวลาที่ลูกดูดนม จากอกแม่ ลูกก็จะมองหน้าแม่ของตัวเอง ซึ่งช่วงเวลาที่ให้นมลูกนั้น เป็นช่วงเวลาที่ทรงคุณค่าที่สุด เพราะแม่ลูกจะได้สบตา ได้พูดคุย ได้แสดงความรักต่อกัน ทำให้ลูกสามารถรับรู้ได้ว่าแม่ของเขารักเขามากแค่ไหน นอก จากนั้นการที่ลูกดูดนมจากอกของแม่บ่อยๆ จะทำให้ลูกจำกลิ่น เสียง หน้าตา และสัมผัสต่างๆ ของแม่ได้เร็วกว่าเด็กที่กินนมจากขวดนม

7.ร่างกายของแม่จะผอมเร็ว   หลังจากคลอดลูก ร่างกายของคุณแม่แม้ว่าจะน้ำหนักลงไปบ้าง แต่ระบบภายใน รวมถึงมดลูกอาจจะยังไม่เข้าที่เท่าที่ควร การเลี้ยงลูกโดยให้ลูกดูดนมแม่จากอกนั้น จะช่วยกระตุ้นร่างกายของแม่ให้หลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่ง (ซึ่งจะออกมาเฉพาะตอนที่ให้ลูกดูดนมแม่เท่านั้น) โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะช่วยให้มดลูกหดตัวเข้าที่ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นการที่ร่างกายต้องผลิตนมแม่จะช่วยเผาผลาญไขมันต่างๆ ตามหน้าท้องออกไปด้วย ทำให้รูปร่าง ของแม่ที่เพิ่งคลอดลูก กลับมาผอมเพรียวได้เร็วกว่าแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมวัว โดยเฉลี่ยแล้วการที่เลี้ยงลูกเอง ให้ลูกกินนมจากอกแม่เอง น้ำหนักตัวของแม่จะลดลงเฉลี่ยเดือนละ 1-2 กิโลกรัม ซึ่งหากเราให้ลูกกินนมแม่ตลอด 6 เดือนแรกหลังคลอด น้ำหนักตัวและรูปร่างของคุณแม่ก็จะเข้ารูปและเกือบจะกลับมาเป็นปกติ

8.เป็นอาหารที่สะดวกที่สุดสำหรับลูกตลอด 24 ชม.นมแม่เป็นแหล่งเติมพลังของลูกน้อยของเราที่สามารถให้ลูกกินได้ตลอด 24 ชม. เมื่อไรที่ลูกหิว เราก็สามารถให้ลูกกินนมจากอกของเราได้ทันที ไม่ต้องพกขวด น้ำร้อน นมผง ฯลฯ ให้ยุ่งยาก สะดวกและรวดเร็วทันใจ ลูกที่สุดแล้วละค่ะ

9.พร้อมดื่มได้ตลอดจากอกแม่   คุณสมบัติที่พิเศษที่หานมอื่นๆ ในโลกนี้ไม่ได้อีกแล้วนั้นคือ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น แม่ไม่ต้องกังวลว่านมแม่นั้นจะร้อนเกินไป หรือเย็นเกินไปสำหรับลูก เพราะนมแม่ที่ออกมาจากเต้านั้น จะมีอุณหภูมิที่พอเหมาะกับ ลูกของเราทันที หากเลี้ยงลูกด้วยนมวัว เราคงต้องตรวจสอบก่อนเสมอว่านมที่ผสมนั้นจะร้อนเกินไปหรือเย็นเกินไปหรือไม่

10.ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย   ค่านมผงชนิดต่างๆ นั้น ปัจจุบันราคาสูงมากขึ้น ไหนจะค่าขวดนม ค่าน้ำยาล้างขวดนม อุปกรณ์ล้างขวดนม ฯลฯ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะหมดไปหากเราเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ เพราะนมแม่กลั่นมาจากร่างกายของแม่เอง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมใดๆ
นมแม่จะมีมากหรือน้อย จะมีภูมิต้านทานมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหาร การพักผ่อน และอารมณ์ของแม่เป็นหลัก หากคุณแม่ดูแลร่างกายอย่างดี กินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพอเพียง และบริหารอารมณ์ตัวเองให้ดี อยู่เสมอๆ ก็จะมีนมแม่มากพอให้ลูกของเรากิน จะเห็นว่านมแม่นั้นปลอดภัยกับลูกของเราที่สุดในโลกและยังมีข้อดีอีกหลายอย่าง

อาหารสำหรับเด็กอ่อน

อาหารสำหรับเด็กอ่อน

อาหารเด็กอ่อน
นอกจากนมแม่หลังจากที่ลูกน้อยอายุครบ 4-6 เดือนแล้วก็จะป้อนอาหารให้ลูกน้อย ซึงในช่วงนี้กระเพาะอาหารของลูกน้อยสามารถย่อยอาหารแข็งได้ 



อาหารสำหรับลูกน้อยที่ให้คุณค่าทางอาหารและบำรุงสองของลูกน้อยมีดังนี้

 1.ไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ด ประกอบไปด้วยปรตีน วิตามินเอ และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับลูกน้อย

 2.ตับ คุณแม่สามารถให้ลูกน้อยทานได้ทั้งตับไก่ ตับหมู เพราะตับอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกบินซึ่ง
เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ตับยังมีโปรตีน วิตามิน เอ และ บี

3.ผัก ควรเลือกผักที่มีสี ผักสีส้ม ผักใบเขียว พราะผักแต่ละสีก็ให้วิตามินที่แตกต่างกัน เช่น ตำลึง ฟักทอง แครอท เป็นต้น ผักจะช่วยให้ลูกขับถ่ายได้ดีขึ้น เพราะมีกากใยอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับผลไม้ควรเลือกผลไม้ชนิดนิ่มๆ ก่อน เพื่อให้ลูกทานได้ง่าย เช่น กล้วยน้ำว้า ส้มเขียวหวาน เป็นต้นหากคุณแม่ไม่ต้องการให้ลูกทานรสหวานมากเกินไปไม่ควรเลือกผลไม้ที่สุกงอมมากๆ เพราะผลไม้ที่สุกมากๆ 


4.เนื้อสัตว์ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา ล้วนอัดแน่นไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามิน โดยเฉพาะเนื้อปลาที่มี DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยบำรุงสมอง


5.ผลไม้ สำหรับผลไม้ควรเลือกผลไม้ชนิดนิ่มๆ ก่อน เพื่อให้ลูกทานได้ง่าย เช่น กล้วยน้ำว้า ส้มเขียวหวาน เป็นต้นหากคุณแม่ไม่ต้องการให้ลูกทานรสหวานมากเกินไปไม่ควรเลือกผลไม้ที่สุกงอมมากๆ เพราะผลไม้ที่สุกงอกมากๆ มักจะมีรสหวาน และการให้ลูกทานอาหารตามวัยเมื่ออายุครบ 6 เดือน