อาการเริ่มแรกของคนท้อง คุณผู้หญิงหลายๆ คนส่วนมากประจำเดือนขาดไปหรือรู้สึกประจำเดือนมาไม่ปกติ และมีอาการอื่นๆแทรกซ้อนเข้ามาจะคิดว่าตัวเองท้องหรือเปล่า สำหรับคุณแม่ที่ตั้งครรภ์ครั้งแรกมักจะไม่ค่อยรู้ตัวว่าตัวเองตั้งครรภ์ ซึ่งอาการของคนท้อง อาการคนท้องนั้นมีหลายรูปแบบ ลองดูกันว่ามีแบบไหนบ้าง อาการของคนท้องเริ่มแรก -ประจำเดือนจะขาด ซึ่งเมื่อก่อนมาเป็นปกติ หากประจำเดือนขาดไปประมาณ 10 วัน ให้คิดไว้ก่อนเลยค่ะว่าเกิดอาการผิดปกติกับร่างกายแล้วแน่นอน แต่สำหรับคุณแม่ที่ให้นมลูก หรือคุณแม่ที่เพิ่งคลอด ประจำเดือนจะมาไม่ตรงเวลาอยู่แล้ว จะดูว่าท้องหรือไม่ จากการที่ประจำเดือนขาดไม่ได้ค่ะ -มีอาการเจ็บหน้าอก อาการคัดตึงเต้านมเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการตั้งครรภ์ คุณอาจสังเกตเห็นว่าเต้านมมีขนาดใหญ่ขึ้นเล็กน้อยเพราะฮอร์โมนจะสั่งให้เต้านมของคุณขยายตัวเตรียมผลิตน้ำนม บริเวณรอบๆหัวนมมีสีคล้ำขึ้น และตั้งชูขึ้น ผิวหนังบริเวณเต้านมบางลงถ้าสังเกตดูดีๆ บริเวณลานหัวนมจะกว้างออก มีเส้นเลือดดำสีเขียวๆ ปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด -ปัสสาวะบ่อยขึ้น หลังจากมีการปฏิสนธิมดลูกจะขยายตัวใหญ่ขึ้นและไปเบียดกับกระเพราะปัสสาวะ ทำให้คุณมีอาการปวดปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ -เหนื่อยง่ายกว่าปกติ คุณจะรู้สึกว่าอยากนอนอยู่ตลอดเวลา เกิดจากฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้นทำให้ ร่างกายของคุณมีอาการคลายตัว ทำให้คุณรู้สึกอยากพักผ่อนอยู่ตลอดเวลา -อยากกินอาหารแปลกๆ หรืออาหารที่ตัวเองไม่เคยรับประทานมาก่อน เป็นเพราะฮอร์โมนที่เพิ่มระดับขึ้นในช่วงเริ่มต้นของการตั้งครรภ์ส่งผลทำให้การรับรู้รสชาติของคุณเปลี่ยนไป -ท้องผูกง่าย ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้นอาจไปกระตุ้นให้กระบวนการย่อยอาหารและขับถ่ายทำงานช้าลง จึงทำให้คุณมีอาการท้องผูกเพิ่มขึ้น ควรดื่มน้ำให้มากๆ และกินอาหารที่มีกากใย จะช่วยให้ลำไส้บีบตัวได้ดีขึ้น -ได้กลิ่นอะไรเหม็นไปหมด ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้คุณกลายเป็นคนจมูกไวเป็นพิเศษ ได้กลิ่นอะไรนิดๆหน่อยก็รู้สึกเหม็นไปเสียหมด แม้กระทั่งอาหารที่ตัวเองเคยชอบทานหรือกลิ่นน้ำหอมที่ตัวเองใช้เป็นประจำ - มีอาการคลื่นไส้อาเจียน เมื่อตั้งครรภ์ได้ประมาณ 6 สัปดาห์ ก็จะเริ่มมีอาการคลื่นไส้อาเจียนแต่บางคนก็รู้สึกคลื่นไส้อาเจียนตั้งแต่รอบเดือนขาดหายไป ส่วนใหญ่รู้สึกคลื่นไส้ในตอนเช้า แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่โชคร้ายหน่อย เพราะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนทั้งวัน -อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย เมื่อเริ่มตั้งครรภ์ก็จะทำให้ไม่มีประจำเดือน จึงส่งผลให้คุณมีอารมณ์แปรปรวนขี้หงุดหงิดและเป็นบ่อยจนชักรำคาญตัวเอง เห็นอะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่พอใจซะแล้ว สาเหตุก็คือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง ซึ่งอาการแบบนี้ก็จะเหมือนกับช่วงก่อนมีประจำเดือน แต่จะดูรุนแรงกว่า -มีเลือดไหลออกมาจากช่องคลอดแต่ไม่มาก หากคุณผู้หญิงท่านใดมีการแบบนี้แนะนำให้ตรวจหรือพบแพทย์ เพื่อที่จะได้ทำการฝากครรภ์ |
วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558
อาการเริ่มแรกของคนท้อง
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2558
สิ่งที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ต้องระวัง
สิ่งที่คุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ต้องระวัง
เรื่องพื้นฐานทั่ว ๆ ไป ในชีวิตประจำวันของคุณแม่ท้อง อาจนำอันตรายมาสู่คุณแม่และลูกน้อยในท้องได้แบบคาดไม่ถึงเลยล่ะค่ะ โดยเฉพาะ เรื่องต่อไปนี้
1. กินเร็ว
การที่คุณแม่กินเร็วนั่นหมายถึงได้เคี้ยวน้อยลง อาหารที่คุณแม่กลืนลงกระเพาะจึงเป็นอาหารที่ยังไม่ละเอียดคุณแม่ที่กินเร็วเกินไป จะทำให้แน่นจุกเสียดท้องได้ง่าย เพราะพื้นที่ของกระเพาะอาหารมีน้อยจึงต้องทำงานหนักในการย่อยอาหารต้องใช้เวลานานกว่าปกติ ทำให้อาหารตกค้างในกระเพาะอาหารนานขึ้น ส่งผลให้ท้องอืดและหากมีอาหารค้างอยู่ในลำไส้ เมื่อถึงมื้อต่อไปคุณแม่ก็จะไม่รู้สึกหิว ยิ่งท้องอืดมากๆ จะส่งผลให้กินอาหารได้น้อยลง ลูกในท้องก็จะได้รับสารอาหารน้อยลง เพราะการดูดซึมสารอาหารของคุณแม่ทำได้ไม่ดี ดังนั้นควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทุกครั้ง และไม่ต้องกินจนอิ่มเกินไปค่ะ
2. เดินเร็ว เคลื่อนไหวเร็ว
ถ้าเป็นคุณแม่ที่อายุครรภ์น้อย ๆ คงไม่เป็นอันตรายอะไร แต่หากเป็นคุณแม่ที่อายุครรภ์อยู่ในไตรมาสสุดท้ายการเดินเร็ว ๆ อาจทำให้ลูกคลอดก่อนกำหนดได้ เพราะขณะที่คุณแม่เคลื่อนไหวนั้น ลูกน้อยในท้องที่ลอยอยู่ในถุงน้ำคร่ำก็จะเคลื่อนไหวตามและกระทบกับผนังมดลูกในท้อง ซึ่งเป็นการกระตุ้นให้มดลูกบีบตัว ทำให้คุณแม่รู้สึกปวดท้อง หากมดลูกเกิดการบีบตัวมาก ๆ ลูกอาจคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะ
ในกรณีที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูง ควรเสี่ยงการเดินเร็ว เพราะหัวใจต้องทำงานหนัก ออกซิเจนที่จะเหลือไปถึงลูกก็ลดลง อาจทำให้ลูกไม่แข็งแรง และเติบโตช้าในครรภ์
3. เลี้ยงน้องหมาน้องแมวในบ้าน
อย่างที่ทราบกันดีค่ะ ว่าน้องหมาน้องแมวช่วยทำให้เรามีความสุขและผ่อนคลายได้ แต่พวกเขาก็มีขนยาวที่อาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้เช่นกันค่ะ นอกจากนี้อาจมีเชื้อโรคจากอุจจาระและปัสสาวะของน้องหมาน้องแมวที่จะมาติดคุณแม่ได้รวมทั้งเห็บหมัดตัวเล็ก ๆ ที่อาจเล็ดรอดสายตาคุณแม่เข้ามาอยู่ในบ้าน ก็อาจนำเชื้อโรคมาสู่เราได้โดยที่ไม่รู้ตัว
แต่ก็มีคุณแม่หลายคนที่ยังให้น้องหมาน้องแมวอยู่ใกล้ชิดตัวเองเสมอ ดังนั้น ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า ด้วยการให้สัตว์เลี้ยง นอนนอกบ้าน หรือจัดพื้นที่แยกส่วนให้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้กีดกันไม่ให้เจอกันเลยนะคะ เพียงแต่ต้องระวังเรื่องความสะอาดค่ะ
4. ให้นมแม่ระหว่างตั้งครรภ์
การให้นมแม่นอกจากจะเป็นการกระตุ้นให้น้ำนมออกมากขึ้นแล้ว ยังกระตุ้นให้มดลูกบีบตัวหรือมดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น ซึ่งถ้าคุณแม่มีลูกเล็กพร้อมกับตั้งครรภ์ไปด้วย ควรหยุดให้นมแม่ เพราะอาจทำให้ลูกในท้องคลอดก่อนกำหนดได้ค่ะเนื่องจากมดลูกถูกกระตุ้นให้บีบรัดตัวอยู่เสมอ จากากรดูดนมแม่
และงดการกระตุ้นสัมผัสที่หัวนม เช่น การนวดสัมผัส หรือการกระตุ้นหัวนมระหว่างมีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น ถ้าหากคุณแม่อยากให้ลูกกินนมแม่ ควรวางแผนการตั้งครรภ์ให้มีความห่างมากพอที่ลูกคนโตจะหยุดกินนมแม่แล้วค่ะ
5. ฟันผุซี่เดียว คลอดแล้วค่อยรักษา
แม้อาการเหงือกบวม เหงือกร่น จะเป็นเรื่องธรรมดาของคุณแม่ตั้งครรภ์ ทำให้ไม่สามารถทำความสะอาดช่องปากได้อย่างทั่วถึง จนอาจมีเชื้อแบคทีเรียสะสม บางรายลุกลามจนถึงขั้นรากฟันหรือเหงือกเป็นหนอง ซึ่งหากมีอาการติดเชื้อรุนแรง เชื้อแบคทีเรียจากช่องปากคุณแม่ อาจติดเชื้อในกระแสเลือดไปสู่ลูกน้อย จนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยค่ะ
ดังนั้น นอกจากดูแลรักษาความสะอาดในช่องปากแล้ว ถ้าพบว่ามีฟันผุ คุณแม่ก็ควรรีบรับการรักษาทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ค่ะ
6. ช็อปปิ้งเพลิน ๆ บังเอิญของหนัก
คุณแม่ท้องที่ชอบไปเดินช็อปปิ้งพร้อมกับถือข้าวของพะรุงพะรังจนไม่รู้ตัว เป็นภาพที่เห็นได้บ่อย ๆ มารู้สึกตัวก็ตอนนั่งเหนื่อยหอบยกของแทบไม่ไหว ด้วยน้ำหนักของท้องที่ใหญ่ขึ้นทำให้คุณแม่ต้องแบกไปด้วยทุกวัน รวมกับของหนัก ๆ ที่ช็อปมา แบบนี้ต้องระวังแล้ค่ะ เพราะการถือของหนัก ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังของคุณแม่ต้องทำงานหนักมากขึ้นด้วยการยืดเหนี่ยวให้หลังตรงไม่ให้เอนไปด้านหน้า พร้อม ๆ กับกล้ามเนื้อขา และข้อต่าง ๆ ที่ต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้น คุณแม่จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อได้ง่าย ๆ
นอกจากนี้ การแบกของหนักยังกระตุ้นให้เกิดโรคด้วย เช่น ความดันโลหิตสูง เนื่องจากหัวใจต้องทำงานหนัก อย่าคิดว่าแค่ถือถุงไม่กี่ใบ จะไม่เป็นอันตราย หาผู้ช่วยถือของดีกว่าค่ะ
7. อยากให้ลูกฟังเพลงดัง ๆ
คุณแม่หลายคนเห็นว่าการให้ลูกฟังเพลง จะช่วยให้ลูกผ่อนคลายและอารมณ์ดี จึงเลือกเปิดเพลงคลอเบา ๆ เพื่อให้เกิดการผ่อนคลายทั้งคุณแม่และลูก ซึ่งไม่ใช่สิ่งผิดค่ะ แต่การให้ลูกฟังเพลงชัด ๆ เสียงดัง ๆ ด้วยการนำหูฟังไปแนบที่ท้องพร้อมกับเร่งเสียงให้ดัง ๆ เพราะกลัวว่าลูกจะไม่ได้ยินนั้นเป็นอันตรายค่ะ เพราะการเปิดเสียงเพลงดัง ๆ ให้ลูกฟังจะไปรบกวนลูกน้อยในท้อง เนื่องจากประสาทหูของเด็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ จึงยังไม่สามารถฟังเสียงที่ดังเกินไปได้ และด้วยพื้นที่ในท้องของคุณแม่ที่มีอยู่อย่างจำกัด เมื่อได้ยินเสียงดัง ๆ ลูกน้อยจึงไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงเสียงเหล่านั้นได้ เด็กอาจจะเกิดความเครียด ส่งผลต่อการถดถอยของพัฒนาการได้ค่ะ
ทางที่ดีคุณแม่ควรพูดคุยกับลูกด้วยเสียงของคุณแม่เอง เพราะจะทำให้ลูกจดจำเสียงคุณแม่ได้เมื่อคลอดออกมาแล้วโดยไม่ต้องห่วงว่าลูกจะไม่ได้ยินคุณแม่พูดนะคะ เพราะเสียงของคุณแม่นั้นสามารถผ่านเข้าไปในตัวคุณแม่และไปสู่ลูกน้อยในครรภ์ได้อย่างแน่นอน โดยสามารถเริ่มพูดคุยกับลูกได้ตั้งแต่อายุครรภ์ 5 เดือนขึ้นไป เพราะพัฒนาการด้านการฟังของลูกจะเริ่มทำงานในช่วงเดือนนี้ค่ะ
8. ปั่นจักรยานในหมู่บ้าน
การปั่นจักรยานอยู่กับที่ในฟิตเนสหรือในบ้าน เป็นการออกกำลังกายสำหรับแม่ท้องที่ดีค่ะ แต่หากคุณแม่ต้องปั่นจักรยานไปข้างนอกในบริเวณใกล้ๆ หรือแม้แต่ปั่นในหมู่บ้านไม่แนะนำ เพราะด้วยพื้นถนนที่ขรุขระ ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะกระทบกระเทือนต่อการตั้งครรภ์ได้ ถ้าเป็นคุณแม่ท้องแก่การทรงตัวในการขึ้นลงจักรยานก็ทำได้ยากขึ้น อาจเกิดอุบัติเหตุจนล้มได้ นอกจากนี้ท่านั่งในการปั่นจักรยาน ยังเป็นการกดทับหน้าท้องและกระเพาะปัสสาวะด้วยค่ะ
วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558
อาหาร ช่วยฟื้นตัวหลังคลอด
อาหาร ช่วยฟื้นตัวหลังคลอด
อาหาร ช่วยฟื้นตัวหลังคลอด
อาหารหลังคลอดนอกจากมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วแล้ว ยังทำให้มีน้ำนมแม่มากพอและมีคุณภาพสำหรับลูกน้อย
คุณลักษณะสำคัญของอาหารสำหรับแม่หลังคลอดที่นำเสนอต่อไปนี้ คงจะช่วยให้คุณแม่หมาดๆ ได้เลือกประเภทและคุณลักษณะของอาหารให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายในช่วงหลังคลอดได้ โดยคุณแม่หลังคลอดควรเลือกอาหารดังนี้
1.มีความอุ่น ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือน้ำและเครื่องดื่มในช่วงหลังคลอดนี้ จำเป็นที่จะต้องมีความอุ่นในขณะที่ดื่มหรือรับประทาน และมักจะแนะนำให้ดื่มน้ำต้มสุกที่ตั้งไว้จนอุ่น ควรจะหลีกเลี่ยงอาหาร น้ำ และเครื่องดื่มที่เย็นอย่างเด็ดขาด
2.มีความหวาน และเป็นความหวานจากธรรมชาติ เช่น ผลไม้ที่มีรสหวาน และมักจะแนะนำให้รับประทาน อินทผาลัม หรือลูกเกด และแนะนำให้ดื่มนม เพราะคนเป็นแม่มักจะอยากอาหารหวานๆเวลาที่ให้นมลูก เนื่องจากร่างกายกำลังสื่อให้เรารู้ว่าต้องการพลังงานที่มากขึ้น ซึ่งในเรื่องพลังแห่งรสชาติ ในทางอายุรเวทนั้นได้ระบุไว้ว่า อาหารหวานจะช่วยในการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อ และนี่เองเป็นเหตุผลที่คนเป็นแม่จะรู้สึกอยากรสหวาน ในช่วงที่ร่างกายต้องทำหน้าที่สร้างน้ำนมให้กับลูกน้อย และหากเป็นไปได้ การปรุงแต่งรสหวานด้วยน้ำตาลสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนควรจะเป็นน้ำตาลดิบ เช่น น้ำตาลอ้อย น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลทรายแดง ตลอดจนน้ำผึ้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาลทรายฟอกขาวมาเติมแต่งความหวานในอาหารและเครื่องดื่ม
3.มีความเบา ชุ่ม ลื่นกลืนง่าย อาหารสำหรับคุณแม่หลังคลอดควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น อาหารที่ค่อนข้างเหลว อย่าง โจ๊ก ข้าวต้ม ที่ร่างกายจะสามารถย่อยและดูดซึมได้ง่าย เพื่อให้ร่างกายรับคุณค่าทางอาหารได้อย่างเต็มที่ และไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในช่วงหลังคลอด นอกจากนี้ อาหารควรจะมีความลื่นกลืนได้ง่าย (จากน้ำมันและกรดไขมันธรรมชาติ) เพื่อหล่อลื่นอวัยวะและเซลล์ต่างๆ ในระบบย่อยอาหาร ซึ่งมักจะอยู่ในสภาวะที่แห้งในช่วงหลังคลอด
4.มีความเป็นธรรมชาติ ปราศจากส่วนผสมที่เป็นสารเคมี เช่น สีสังเคราะห์ ผงชูรส สารกันบูด และสารแต่งรสต่างๆ คุณแม่ในช่วงหลังคลอดควรจะรับประทานอาหารที่เป็นอาหารแท้ๆ จากธรรมชาติ และควรหลีกเลี่ยงอาหารกระป๋อง และอาหารที่ผ่านกระบวนการ เพราะเป็นอาหารที่ด้อยคุณค่าหรือปราศจากคุณค่าทางอาหาร
5.มีรสชาติเป็นกลางๆ ไม่ใส่พริก และไม่เค็มเกินไป เพราะหลังจากผ่านการย่อยแล้ว ทั้งพริกและเกลือจะมีรสฝาด ซึ่งวิปากะหรือรสชาติหลังจากการย่อยที่ฝาดนั้นไม่ได้เสริมสร้างการเกิดของเซลล์ จึงเป็นรสชาติที่ควรจะจำกัดหรือหลีกเลี่ยงในช่วงหลังคลอด ไม่เพียงเท่านั้น รสเค็มและเผ็ดของเกลือและพริกสามารถซึมเข้าสู่ในน้ำนมได้ และส่งผลให้ทั้งแม่กับลูกน้อยเกิดท้องเสียและแสบก้นเวลาขับถ่ายได้ หากต้องมีการใช้เกลือ ควรจะเป็นเกลือธรรมชาติอย่างเกลือสมุทรและเกลือสินเธาว์ ไม่ใช่เกลือป่นสำเร็จรูป และควรจำไว้ว่า การบริโภคเกลือมากเกินไปก็จะทำให้ร่างกายบวมน้ำ และสามารถใช้เครื่องเทศอื่นๆ ที่มีสรรพคุณในการช่วยย่อย เช่น ขิงและพริกไทยดำมาปรุงแต่งรสชาติอาหารได้
6.มีความสดใหม่ และเป็นอาหารที่หาได้ในท้องถิ่น เพราะจะเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยพลังชีวิต และมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าอาหารที่แช่แข็งหรืออาหารผ่านกระบวนการ ที่มักจะสูญเสียคุณค่าทางอาหารที่จำเป็นต่างๆ ไปในระหว่างกระบวนการผลิต ต่างจากอาหารที่มีส่วนผสมที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ที่ยังคงความสดใหม่ และควรจะนำมาปรุงกันสดๆ ในครัวที่บ้าน แบบวันต่อวันไม่ค้างเก่า
อาหารหลังคลอดนอกจากมีส่วนสำคัญในการช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วแล้ว ยังทำให้มีน้ำนมแม่มากพอและมีคุณภาพสำหรับลูกน้อย
คุณลักษณะสำคัญของอาหารสำหรับแม่หลังคลอดที่นำเสนอต่อไปนี้ คงจะช่วยให้คุณแม่หมาดๆ ได้เลือกประเภทและคุณลักษณะของอาหารให้เหมาะสมกับสภาวะร่างกายในช่วงหลังคลอดได้ โดยคุณแม่หลังคลอดควรเลือกอาหารดังนี้
1.มีความอุ่น ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือน้ำและเครื่องดื่มในช่วงหลังคลอดนี้ จำเป็นที่จะต้องมีความอุ่นในขณะที่ดื่มหรือรับประทาน และมักจะแนะนำให้ดื่มน้ำต้มสุกที่ตั้งไว้จนอุ่น ควรจะหลีกเลี่ยงอาหาร น้ำ และเครื่องดื่มที่เย็นอย่างเด็ดขาด
2.มีความหวาน และเป็นความหวานจากธรรมชาติ เช่น ผลไม้ที่มีรสหวาน และมักจะแนะนำให้รับประทาน อินทผาลัม หรือลูกเกด และแนะนำให้ดื่มนม เพราะคนเป็นแม่มักจะอยากอาหารหวานๆเวลาที่ให้นมลูก เนื่องจากร่างกายกำลังสื่อให้เรารู้ว่าต้องการพลังงานที่มากขึ้น ซึ่งในเรื่องพลังแห่งรสชาติ ในทางอายุรเวทนั้นได้ระบุไว้ว่า อาหารหวานจะช่วยในการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อ และนี่เองเป็นเหตุผลที่คนเป็นแม่จะรู้สึกอยากรสหวาน ในช่วงที่ร่างกายต้องทำหน้าที่สร้างน้ำนมให้กับลูกน้อย และหากเป็นไปได้ การปรุงแต่งรสหวานด้วยน้ำตาลสำหรับคุณแม่ลูกอ่อนควรจะเป็นน้ำตาลดิบ เช่น น้ำตาลอ้อย น้ำตาลโตนด หรือน้ำตาลทรายแดง ตลอดจนน้ำผึ้ง ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำตาลทรายฟอกขาวมาเติมแต่งความหวานในอาหารและเครื่องดื่ม
3.มีความเบา ชุ่ม ลื่นกลืนง่าย อาหารสำหรับคุณแม่หลังคลอดควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น อาหารที่ค่อนข้างเหลว อย่าง โจ๊ก ข้าวต้ม ที่ร่างกายจะสามารถย่อยและดูดซึมได้ง่าย เพื่อให้ร่างกายรับคุณค่าทางอาหารได้อย่างเต็มที่ และไม่ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นในช่วงหลังคลอด นอกจากนี้ อาหารควรจะมีความลื่นกลืนได้ง่าย (จากน้ำมันและกรดไขมันธรรมชาติ) เพื่อหล่อลื่นอวัยวะและเซลล์ต่างๆ ในระบบย่อยอาหาร ซึ่งมักจะอยู่ในสภาวะที่แห้งในช่วงหลังคลอด
4.มีความเป็นธรรมชาติ ปราศจากส่วนผสมที่เป็นสารเคมี เช่น สีสังเคราะห์ ผงชูรส สารกันบูด และสารแต่งรสต่างๆ คุณแม่ในช่วงหลังคลอดควรจะรับประทานอาหารที่เป็นอาหารแท้ๆ จากธรรมชาติ และควรหลีกเลี่ยงอาหารกระป๋อง และอาหารที่ผ่านกระบวนการ เพราะเป็นอาหารที่ด้อยคุณค่าหรือปราศจากคุณค่าทางอาหาร
5.มีรสชาติเป็นกลางๆ ไม่ใส่พริก และไม่เค็มเกินไป เพราะหลังจากผ่านการย่อยแล้ว ทั้งพริกและเกลือจะมีรสฝาด ซึ่งวิปากะหรือรสชาติหลังจากการย่อยที่ฝาดนั้นไม่ได้เสริมสร้างการเกิดของเซลล์ จึงเป็นรสชาติที่ควรจะจำกัดหรือหลีกเลี่ยงในช่วงหลังคลอด ไม่เพียงเท่านั้น รสเค็มและเผ็ดของเกลือและพริกสามารถซึมเข้าสู่ในน้ำนมได้ และส่งผลให้ทั้งแม่กับลูกน้อยเกิดท้องเสียและแสบก้นเวลาขับถ่ายได้ หากต้องมีการใช้เกลือ ควรจะเป็นเกลือธรรมชาติอย่างเกลือสมุทรและเกลือสินเธาว์ ไม่ใช่เกลือป่นสำเร็จรูป และควรจำไว้ว่า การบริโภคเกลือมากเกินไปก็จะทำให้ร่างกายบวมน้ำ และสามารถใช้เครื่องเทศอื่นๆ ที่มีสรรพคุณในการช่วยย่อย เช่น ขิงและพริกไทยดำมาปรุงแต่งรสชาติอาหารได้
6.มีความสดใหม่ และเป็นอาหารที่หาได้ในท้องถิ่น เพราะจะเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยพลังชีวิต และมีคุณค่าทางอาหารมากกว่าอาหารที่แช่แข็งหรืออาหารผ่านกระบวนการ ที่มักจะสูญเสียคุณค่าทางอาหารที่จำเป็นต่างๆ ไปในระหว่างกระบวนการผลิต ต่างจากอาหารที่มีส่วนผสมที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น ที่ยังคงความสดใหม่ และควรจะนำมาปรุงกันสดๆ ในครัวที่บ้าน แบบวันต่อวันไม่ค้างเก่า
วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2558
อุบัติเหตุที่พบบ่อยในเด็กวัย 1-3 ปี
อุบัติเหตุที่พบบ่อยในเด็กวัย 1-3 ปี
1.จมน้ำ
2. ตกจากที่สูง
3. ไฟฟ้าดูด
4. อุบัติเหตุจากรถเข็นเด็ก
จมน้ำ
เด็กจมน้ำตายส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็ก มักเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงภายในบ้าน เช่น จมถังน้ำ อ่างอาบน้ำ กะละมัง หรือไม่ก็อาจจะจมน้ำในแหล่งน้ำรอบ ๆ บ้าน เช่น คูน้ำหลังบ้าน บ่อน้ำ หรือสระว่ายน้ำ สิ่งแวดล้อมที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตราย เพราะไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กเล็กที่กำลังซุกซนและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
อุบัติเหตุจมน้ำในเด็กเล็กมักเกิดขึ้นในขณะที่เด็กอยู่ในความดูแลของคุณพ่อคุณแม่ เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่เผอเรอชั่วขณะเด็กก็เกิดการจมน้ำได้ เช่น พ่อแม่เดินไปเข้าห้องน้ำ ไปล้างจาน รับโทรศัพท์ คุยเพลิน หรือเผลอหลับไปเพียงครู่เดียว การปล่อยให้เด็กวิ่งไปมาใกล้แหล่งน้ำที่ไม่มีรั้วกั้นมีความเสี่ยงต่อการจมน้ำอย่างมาก เด็กที่จมน้ำจะขาดอากาศหายใจ หากเกิน 4-5 นาที สมองจะเกิดภาวะสมองตายซึ่งไม่สามารถกลับฟื้นได้ ทำให้เสียชีวิตหรือพิกลพิการตลอดชีวิต เด็กจมน้ำส่วนใหญ่จะเสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล ดังนั้นทางที่ดีที่สุดพ่อแม่ควรป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์จมน้ำเกิดขึ้น และหากเกิดขึ้นเด็กจะต้องได้รับการปฐมพยาบาลและปฏิบัติการกู้ชีพเบื้องต้น ที่ถูกต้องและรวดเร็วที่สุด
การป้องกันเด็กจมน้ำ
สร้างสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัยโดยเฉพาะหากมีลูกในวัยหัดเดิน โดยทำรั้วกั้นให้เด็กมีพื้นที่ที่จำกัด ไม่สามารถเดินเข้าห้องน้ำได้ หรือปิดประตูห้องน้ำ หรือ ใช้ถังน้ำที่มีฝาปิด มีความสูงเพียงพอที่เด็กจะไม่สามารถปีนขึ้นได้
ไม่ปล่อยให้ลูกคลาดสายตา การป้องกันเด็กจมน้ำในอ่างอาบน้ำ กะละมัง ป้องกันได้โดยไม่ปล่อยเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี เล่นน้ำในอ่างหรือสระว่ายน้ำตื้น ๆ แต่เพียงลำพัง พ่อแม่พึงคิดไว้เสมอว่าระดับน้ำตื้น ๆ สามารถทำให้เด็กจมน้ำได้
ใส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบชุมชน บ่อน้ำ คู คลองในชุมชนก็เป็นจุดอันตรายที่ทำให้เด็กจมน้ำได้เหมือนกัน อย่าคิดว่า "เรื่องอย่างนี้คงไม่เกิดกับลูกเราหรอก" เพราะอาจจะมีสักวันที่ลูกเราออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านแล้วอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้น คนในชุมชนจึงต้องมีความตั้งใจร่วมกันที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมให้ลูกหลานในชุมชนสามารถวิ่งเล่นไปมาได้โดยปลอดภัย เพราะฉะนั้นควรช่วยกันสำรวจรอบชุมชนเพื่อดูว่าตรงไหนบ้างที่เป็นจุดเสี่ยง อาจทำให้เด็กจมน้ำได้ เช่น บ่อน้ำ คูน้ำ แล้วทำรั้วกั้น รั้วต้องสูงอย่างน้อย 150 ซม. ซี่รั้วต้องไม่ห่างเกิน 10 ซม. เป็นต้น
สอนลูกอย่าไว้ใจน้ำ เด็กอายุ 18 เดือนขึ้นไปควรได้รับการสอนให้รู้จักอันตรายของการอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี ก็สามารถเรียนว่ายน้ำได้ อย่างน้อยเพื่อให้สามารถช่วยตัวเองให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้เมื่อจมน้ำ ทำให้มีผู้พบเห็นและช่วยได้ทัน อย่างไรก็ตามพ่อแม่ไม่ควรวางใจให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ว่ายน้ำเป็นอยู่ในแหล่งน้ำตามลำพัง(แม้ว่าจะว่ายน้ำเป็นแล้วก็ตาม)
การปฐมพยาบาลและการกู้ชีพฉุกเฉินเมื่อเด็กจมน้ำ
สิ่งที่พ่อแม่ควรตระเตรียมไว้เพื่อความปลอดภัยของลูกคือเรียนรู้วิธีกู้ชีพฉุกเฉิน เพราะหน่วยฉุกเฉินที่ต้องโทรศัพท์เรียกมาห้องฉุกเฉิน และไอ.ซี.ยู.ของโรงพยาบาลจะช่วยลูกได้น้อยมาก ผลการวิจัยพบว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่พ่อแม่หรือผู้อยู่ใกล้ชิดเด็กที่จมน้ำทำการปฐมพยาบาลผิดวิธี มักใช้ท่าอุ้มพาดบ่าเพื่อเอาน้ำออก บางคนเอาเด็กวางลงบนกระทะคว่ำเพื่อรีดเอาน้ำออก การกระทำดังกล่าวไม่ช่วยเหลือเด็กแต่อย่างไร แต่ทำให้เสียเวลาในการช่วยการหายใจเด็ก นอกจากนั้นผลการวิจัยยังพบว่าในรายที่พ่อแม่พาเด็กที่จมน้ำไปยังคลินิกใกล้บ้าน พ่อแม่มักจะได้รับคำแนะนำให้รีบพาส่งโรงพยาบาลต่อไปโดยที่แพทย์ไม่ได้ช่วยเหลือเบื้องต้นและไม่ได้นำส่งด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่เด็กมีอาการหนัก
1.จมน้ำ
2. ตกจากที่สูง
3. ไฟฟ้าดูด
4. อุบัติเหตุจากรถเข็นเด็ก
จมน้ำ
เด็กจมน้ำตายส่วนใหญ่เป็นเด็กเล็ก มักเกิดขึ้นอย่างคาดไม่ถึงภายในบ้าน เช่น จมถังน้ำ อ่างอาบน้ำ กะละมัง หรือไม่ก็อาจจะจมน้ำในแหล่งน้ำรอบ ๆ บ้าน เช่น คูน้ำหลังบ้าน บ่อน้ำ หรือสระว่ายน้ำ สิ่งแวดล้อมที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตราย เพราะไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กเล็กที่กำลังซุกซนและเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
อุบัติเหตุจมน้ำในเด็กเล็กมักเกิดขึ้นในขณะที่เด็กอยู่ในความดูแลของคุณพ่อคุณแม่ เพียงแต่คุณพ่อคุณแม่เผอเรอชั่วขณะเด็กก็เกิดการจมน้ำได้ เช่น พ่อแม่เดินไปเข้าห้องน้ำ ไปล้างจาน รับโทรศัพท์ คุยเพลิน หรือเผลอหลับไปเพียงครู่เดียว การปล่อยให้เด็กวิ่งไปมาใกล้แหล่งน้ำที่ไม่มีรั้วกั้นมีความเสี่ยงต่อการจมน้ำอย่างมาก เด็กที่จมน้ำจะขาดอากาศหายใจ หากเกิน 4-5 นาที สมองจะเกิดภาวะสมองตายซึ่งไม่สามารถกลับฟื้นได้ ทำให้เสียชีวิตหรือพิกลพิการตลอดชีวิต เด็กจมน้ำส่วนใหญ่จะเสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล ดังนั้นทางที่ดีที่สุดพ่อแม่ควรป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์จมน้ำเกิดขึ้น และหากเกิดขึ้นเด็กจะต้องได้รับการปฐมพยาบาลและปฏิบัติการกู้ชีพเบื้องต้น ที่ถูกต้องและรวดเร็วที่สุด
การป้องกันเด็กจมน้ำ
สร้างสิ่งแวดล้อมภายในบ้านให้ปลอดภัยโดยเฉพาะหากมีลูกในวัยหัดเดิน โดยทำรั้วกั้นให้เด็กมีพื้นที่ที่จำกัด ไม่สามารถเดินเข้าห้องน้ำได้ หรือปิดประตูห้องน้ำ หรือ ใช้ถังน้ำที่มีฝาปิด มีความสูงเพียงพอที่เด็กจะไม่สามารถปีนขึ้นได้
ไม่ปล่อยให้ลูกคลาดสายตา การป้องกันเด็กจมน้ำในอ่างอาบน้ำ กะละมัง ป้องกันได้โดยไม่ปล่อยเด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี เล่นน้ำในอ่างหรือสระว่ายน้ำตื้น ๆ แต่เพียงลำพัง พ่อแม่พึงคิดไว้เสมอว่าระดับน้ำตื้น ๆ สามารถทำให้เด็กจมน้ำได้
ใส่ใจสิ่งแวดล้อมรอบชุมชน บ่อน้ำ คู คลองในชุมชนก็เป็นจุดอันตรายที่ทำให้เด็กจมน้ำได้เหมือนกัน อย่าคิดว่า "เรื่องอย่างนี้คงไม่เกิดกับลูกเราหรอก" เพราะอาจจะมีสักวันที่ลูกเราออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านแล้วอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้น คนในชุมชนจึงต้องมีความตั้งใจร่วมกันที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมให้ลูกหลานในชุมชนสามารถวิ่งเล่นไปมาได้โดยปลอดภัย เพราะฉะนั้นควรช่วยกันสำรวจรอบชุมชนเพื่อดูว่าตรงไหนบ้างที่เป็นจุดเสี่ยง อาจทำให้เด็กจมน้ำได้ เช่น บ่อน้ำ คูน้ำ แล้วทำรั้วกั้น รั้วต้องสูงอย่างน้อย 150 ซม. ซี่รั้วต้องไม่ห่างเกิน 10 ซม. เป็นต้น
สอนลูกอย่าไว้ใจน้ำ เด็กอายุ 18 เดือนขึ้นไปควรได้รับการสอนให้รู้จักอันตรายของการอยู่ใกล้แหล่งน้ำ เด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี ก็สามารถเรียนว่ายน้ำได้ อย่างน้อยเพื่อให้สามารถช่วยตัวเองให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้เมื่อจมน้ำ ทำให้มีผู้พบเห็นและช่วยได้ทัน อย่างไรก็ตามพ่อแม่ไม่ควรวางใจให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี ที่ว่ายน้ำเป็นอยู่ในแหล่งน้ำตามลำพัง(แม้ว่าจะว่ายน้ำเป็นแล้วก็ตาม)
การปฐมพยาบาลและการกู้ชีพฉุกเฉินเมื่อเด็กจมน้ำ
สิ่งที่พ่อแม่ควรตระเตรียมไว้เพื่อความปลอดภัยของลูกคือเรียนรู้วิธีกู้ชีพฉุกเฉิน เพราะหน่วยฉุกเฉินที่ต้องโทรศัพท์เรียกมาห้องฉุกเฉิน และไอ.ซี.ยู.ของโรงพยาบาลจะช่วยลูกได้น้อยมาก ผลการวิจัยพบว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ที่พ่อแม่หรือผู้อยู่ใกล้ชิดเด็กที่จมน้ำทำการปฐมพยาบาลผิดวิธี มักใช้ท่าอุ้มพาดบ่าเพื่อเอาน้ำออก บางคนเอาเด็กวางลงบนกระทะคว่ำเพื่อรีดเอาน้ำออก การกระทำดังกล่าวไม่ช่วยเหลือเด็กแต่อย่างไร แต่ทำให้เสียเวลาในการช่วยการหายใจเด็ก นอกจากนั้นผลการวิจัยยังพบว่าในรายที่พ่อแม่พาเด็กที่จมน้ำไปยังคลินิกใกล้บ้าน พ่อแม่มักจะได้รับคำแนะนำให้รีบพาส่งโรงพยาบาลต่อไปโดยที่แพทย์ไม่ได้ช่วยเหลือเบื้องต้นและไม่ได้นำส่งด้วยตัวเองทั้ง ๆ ที่เด็กมีอาการหนัก
ตกจากที่สูง
เด็กวัย 1-3 ปี ชอบที่จะได้เล่นในสนามเด็กเล่น ได้เล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชิงช้า กระดานหก กระดานลื่น ราวโหน ม้าหมุน ฯลฯ ล้วนแต่มีประโยชน์แก่เด็ก ๆ อย่างมาก แต่สนามเด็กเล่นนั้นก็มีอันตรายเหมือนกัน สาเหตุการตายส่วนใหญ่เกิดจากการล้มทับของเครื่องเล่น สำหรับการบาดเจ็บนั้นกว่า 70% เกิดจากการพลัดตกหกล้ม โดยเฉพาะเครื่องเล่นที่เป็นประเภทแกว่งไกวไปมา มีการเหวี่ยงการชนเกิดขึ้นได้เสมอคือชิงช้า ที่นั่งชิงช้าโยกไปมาควรทำด้วยผ้า ยาง หรือวัสดุที่อ่อนนุ่ม มีขอบมนและมีผิวเรียบซึ่งย่อมปลอดภัยกว่าที่นั่งชิงช้าที่ทำด้วยโลหะหรือไม้แข็ง ที่เสี่ยงต่อการโดนกระแทกหากมีเด็กวิ่งตัดหน้าตัดหลัง หรือพลัดตกลงมาได้ ส่วนในบ้านก็มีที่สูงที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรประมาทเหมือนกัน เพราะสามารถทำอันตรายถึงแก่ชีวิตของลูกได้
วิธีจัดบ้านให้ปลอดภัย
- พื้นบ้านต้องไม่ลื่นเสี่ยงกับการหกล้ม เครื่องใช้ในบ้านควรมีความมั่นคงแน่นหนาเมื่อเด็ก ๆ ปีนป่ายจะได้ไม่ล้มง่ายและไม่เกิดอันตราย
-ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ห่างจากสายตา โดยเฉพาะในจุดที่เสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น ห้องน้ำ บันได ห้องครัว ต้องมีผู้ใหญ่ดูแลอย่างใกล้ชิด
-ติดตั้งหรือหาอุปกรณ์ป้องกันในบริเวณที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น บันได มุมโต๊ะ ปลั๊กไฟ ประตู หน้าต่าง
หิ้งวางของที่แขวนตามข้างฝา ควรติดตั้งให้มั่นคง ไม่ควรใส่ของมากจนรับน้ำหนักไม่ไหว และบอกให้ลูกรู้ว่าหิ้งไม่ใช่ที่ปีนป่ายเล่นสำหรับเด็ก ๆ
-ให้ติดประตูกั้นตรงบริเวณทางลงบันได และลงกลอนให้แน่นหนาทุกครั้ง เพื่อป้องกันเด็กพลัดตกลงมา
-อย่าปล่อยให้ลูกเล็กขึ้นลงบันไดตามลำพัง ถึงแม้ว่าจะเริ่มขึ้นบันไดเป็นบ้างแล้วก็ตาม
- ติดยางที่ขอบบันไดเพื่อกันลื่นและปิดเหลี่ยมคม ๆ ของบันได
เด็กวัย 1-3 ปี ชอบที่จะได้เล่นในสนามเด็กเล่น ได้เล่นเครื่องเล่นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชิงช้า กระดานหก กระดานลื่น ราวโหน ม้าหมุน ฯลฯ ล้วนแต่มีประโยชน์แก่เด็ก ๆ อย่างมาก แต่สนามเด็กเล่นนั้นก็มีอันตรายเหมือนกัน สาเหตุการตายส่วนใหญ่เกิดจากการล้มทับของเครื่องเล่น สำหรับการบาดเจ็บนั้นกว่า 70% เกิดจากการพลัดตกหกล้ม โดยเฉพาะเครื่องเล่นที่เป็นประเภทแกว่งไกวไปมา มีการเหวี่ยงการชนเกิดขึ้นได้เสมอคือชิงช้า ที่นั่งชิงช้าโยกไปมาควรทำด้วยผ้า ยาง หรือวัสดุที่อ่อนนุ่ม มีขอบมนและมีผิวเรียบซึ่งย่อมปลอดภัยกว่าที่นั่งชิงช้าที่ทำด้วยโลหะหรือไม้แข็ง ที่เสี่ยงต่อการโดนกระแทกหากมีเด็กวิ่งตัดหน้าตัดหลัง หรือพลัดตกลงมาได้ ส่วนในบ้านก็มีที่สูงที่คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรประมาทเหมือนกัน เพราะสามารถทำอันตรายถึงแก่ชีวิตของลูกได้
วิธีจัดบ้านให้ปลอดภัย
- พื้นบ้านต้องไม่ลื่นเสี่ยงกับการหกล้ม เครื่องใช้ในบ้านควรมีความมั่นคงแน่นหนาเมื่อเด็ก ๆ ปีนป่ายจะได้ไม่ล้มง่ายและไม่เกิดอันตราย
-ไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ห่างจากสายตา โดยเฉพาะในจุดที่เสี่ยงกับการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น ห้องน้ำ บันได ห้องครัว ต้องมีผู้ใหญ่ดูแลอย่างใกล้ชิด
-ติดตั้งหรือหาอุปกรณ์ป้องกันในบริเวณที่จะเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย เช่น บันได มุมโต๊ะ ปลั๊กไฟ ประตู หน้าต่าง
หิ้งวางของที่แขวนตามข้างฝา ควรติดตั้งให้มั่นคง ไม่ควรใส่ของมากจนรับน้ำหนักไม่ไหว และบอกให้ลูกรู้ว่าหิ้งไม่ใช่ที่ปีนป่ายเล่นสำหรับเด็ก ๆ
-ให้ติดประตูกั้นตรงบริเวณทางลงบันได และลงกลอนให้แน่นหนาทุกครั้ง เพื่อป้องกันเด็กพลัดตกลงมา
-อย่าปล่อยให้ลูกเล็กขึ้นลงบันไดตามลำพัง ถึงแม้ว่าจะเริ่มขึ้นบันไดเป็นบ้างแล้วก็ตาม
- ติดยางที่ขอบบันไดเพื่อกันลื่นและปิดเหลี่ยมคม ๆ ของบันได
ไฟฟ้าดูด
เรื่องฟืนไฟเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ควรระวังอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแค่เด็กวัยซนเท่านั้น ผู้ใหญ่อย่างเราก็ตกเป็นเหยื่อของไฟฟ้าดูดมามากมาย ซึ่งเราต้องหาทางป้องกันให้ดีที่สุด
ถ้าปลั๊กไฟอยู่ต่ำใกล้มือเด็ก ควรใส่ที่ครอบปลั๊กไฟไว้ เพื่อป้องกันเด็กถูกไฟดูดจากการเล่นปลั๊กไฟ
บริเวณใดในบ้านที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้า หรือนาน ๆ ถึงจะใช้ที ก็ควรสับสะพานไฟลงเสีย
ย้ำเตือนถึงอันตรายของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น พัดลม เครื่องดูดฝุ่น เตาร้อนต่าง ๆ ฯลฯ ให้ลูกจดจำและระวังตัวอยู่เสมอ
หลังใช้งานควรเก็บให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยสายไฟยาวเกะกะ เพราะสายไฟอาจจะทำให้สะดุดหกล้ม หรือพันคอเด็กจนหายใจไม่ออกได้
หากในบ้านมีเด็กเล็ก ที่เสียบปลั๊กไฟควรสวมที่ครอบหรือติดเทปหนาที่ใช้สำหรับติดสายไฟ ซึ่งดึงออกยาก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเอานิ้วหรือวัสดุต่าง ๆ แหย่เข้าไปในรูปลั๊ก
สายไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ไม่ควรวางไว้ที่พื้นหรือแขวนไว้ในระดับที่เด็กอาจเอื้อมหยิบได้ หรือนำสายไฟมาเคี้ยวเล่นจนได้รับอันตรายถึงชีวิตหากไฟดูด หรือปากไหม้ได้รับบาดเจ็บ
ต้องสอนลูกอยู่เสมอว่าห้ามแตะต้องอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อตัวหรือมือเปียก เพราะไฟจะดูดเอาได้
เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อใช้เสร็จแล้ว ให้ดึงปลั๊กออก เพราะการเสียบปลั๊กค้างไว้ นอกจากจะทำให้เปลืองไฟแล้ว ยังทำให้เครื่องสึกหรอเร็วขึ้น และอาจเป็นอันตรายได้เมื่อลูกไปจับต้อง
การป้องกันและการปฐมพยาบาลเมื่อเด็กถูกไฟดูด
หาทางตัดกระแสไฟฟ้า เช่น สับสะพานไฟลงทั้งหมด หรือรีบดึงปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นออก ก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือ และสัมผัสร่างกายลูก มิฉะนั้นเราอาจจะเป็นอันตรายจากกระแสไฟฟ้าไปด้ว
หากหาทางตัดแหล่งกระแสไฟไม่ได้ ใช้วัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ท่อนไม้แห้ง ผ้าแห้ง ถุงมือยางหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ม้วนเป็นแท่ง ดึงหรือเกี่ยวสายไฟออกจากตัวลูก
หากจำเป็นต้องดึงลูกให้พ้นจากการถูกไฟดูด ให้คนช่วยยืนบนฉนวนไฟฟ้า เช่น ผ้าห่ม กล่องไม้ กระดาษหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับ จากนั้นใช้วัสดุที่ไม่เป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้า เช่น ไม้กวาด ผ้าแห้ง ถุงกระดาษ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อมือ แล้วดึงลูกให้พ้นจากการถูกไฟดูด
เมื่อตัดกระแสไฟฟ้าออกจากตัวลูกแล้ว ให้คุณพ่อคุณแม่สำรวจร่างกายลูกว่ามีร่องรอยแผลไหม้หรือไม่ ถ้าพบว่ามีแผลไหม้ที่แขนหรือขาข้างหนึ่ง ต้องตรวจดูแขนหรือขาอีกข้างด้วย
ทำให้แผลไหม้นั้นเย็นลงโดยเร็ว โดยอาจเอาแผลไปรองอยู่ใต้ก๊อกน้ำนาน 10-15 นาที ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ แล้วนำลูกส่งโรงพยาบาล
แผลไหม้จากที่เกิดจากไฟฟ้าดูดจะดูเป็นรอยไหม้เล็ก ๆ แต่แผลไหม้มักจะลึกกว่าแผลไฟไหม้ธรรมดา นอกจากนี้รอยไหม้ยังไม่ได้เกิดเฉพาะตำแหน่งที่กระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นที่ตำแหน่งที่แล่นออกจากร่างกายด้วย แผลไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้าดูดนี้เสี่ยงกับการติดเชื้อมาก ดังนั้นแม้จะเป็นแผลขนาดเล็กก็ควรพาลูกไปพบแพทย์
หากหมดสติแต่ยังหายใจอยู่ ให้จับลูกนอนในท่าพักฟื้น เพื่อให้ลูกหายใจได้สะดวก ลิ้นของลูกไม่ตกลงไปปิดทางเดินหายใจ และป้องกันลูกสำลักของเหลวหรืออาเจียน โดยจะช่วยให้ของเหลวหรืออาเจียนไหลออกจากปากได้สะดวก และทำการปฐมพยาบาลบาดแผลที่ถูกไฟดูดหรืออาการบาดเจ็บอื่น ๆ
เรื่องฟืนไฟเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ควรระวังอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแค่เด็กวัยซนเท่านั้น ผู้ใหญ่อย่างเราก็ตกเป็นเหยื่อของไฟฟ้าดูดมามากมาย ซึ่งเราต้องหาทางป้องกันให้ดีที่สุด
ถ้าปลั๊กไฟอยู่ต่ำใกล้มือเด็ก ควรใส่ที่ครอบปลั๊กไฟไว้ เพื่อป้องกันเด็กถูกไฟดูดจากการเล่นปลั๊กไฟ
บริเวณใดในบ้านที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้า หรือนาน ๆ ถึงจะใช้ที ก็ควรสับสะพานไฟลงเสีย
ย้ำเตือนถึงอันตรายของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น พัดลม เครื่องดูดฝุ่น เตาร้อนต่าง ๆ ฯลฯ ให้ลูกจดจำและระวังตัวอยู่เสมอ
หลังใช้งานควรเก็บให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยสายไฟยาวเกะกะ เพราะสายไฟอาจจะทำให้สะดุดหกล้ม หรือพันคอเด็กจนหายใจไม่ออกได้
หากในบ้านมีเด็กเล็ก ที่เสียบปลั๊กไฟควรสวมที่ครอบหรือติดเทปหนาที่ใช้สำหรับติดสายไฟ ซึ่งดึงออกยาก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเอานิ้วหรือวัสดุต่าง ๆ แหย่เข้าไปในรูปลั๊ก
สายไฟของเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด ไม่ควรวางไว้ที่พื้นหรือแขวนไว้ในระดับที่เด็กอาจเอื้อมหยิบได้ หรือนำสายไฟมาเคี้ยวเล่นจนได้รับอันตรายถึงชีวิตหากไฟดูด หรือปากไหม้ได้รับบาดเจ็บ
ต้องสอนลูกอยู่เสมอว่าห้ามแตะต้องอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อตัวหรือมือเปียก เพราะไฟจะดูดเอาได้
เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อใช้เสร็จแล้ว ให้ดึงปลั๊กออก เพราะการเสียบปลั๊กค้างไว้ นอกจากจะทำให้เปลืองไฟแล้ว ยังทำให้เครื่องสึกหรอเร็วขึ้น และอาจเป็นอันตรายได้เมื่อลูกไปจับต้อง
การป้องกันและการปฐมพยาบาลเมื่อเด็กถูกไฟดูด
หาทางตัดกระแสไฟฟ้า เช่น สับสะพานไฟลงทั้งหมด หรือรีบดึงปลั๊กอุปกรณ์ไฟฟ้านั้นออก ก่อนจะเข้าไปช่วยเหลือ และสัมผัสร่างกายลูก มิฉะนั้นเราอาจจะเป็นอันตรายจากกระแสไฟฟ้าไปด้ว
หากหาทางตัดแหล่งกระแสไฟไม่ได้ ใช้วัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า เช่น ท่อนไม้แห้ง ผ้าแห้ง ถุงมือยางหรือกระดาษหนังสือพิมพ์ม้วนเป็นแท่ง ดึงหรือเกี่ยวสายไฟออกจากตัวลูก
หากจำเป็นต้องดึงลูกให้พ้นจากการถูกไฟดูด ให้คนช่วยยืนบนฉนวนไฟฟ้า เช่น ผ้าห่ม กล่องไม้ กระดาษหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับ จากนั้นใช้วัสดุที่ไม่เป็นสื่อนำกระแสไฟฟ้า เช่น ไม้กวาด ผ้าแห้ง ถุงกระดาษ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ห่อมือ แล้วดึงลูกให้พ้นจากการถูกไฟดูด
เมื่อตัดกระแสไฟฟ้าออกจากตัวลูกแล้ว ให้คุณพ่อคุณแม่สำรวจร่างกายลูกว่ามีร่องรอยแผลไหม้หรือไม่ ถ้าพบว่ามีแผลไหม้ที่แขนหรือขาข้างหนึ่ง ต้องตรวจดูแขนหรือขาอีกข้างด้วย
ทำให้แผลไหม้นั้นเย็นลงโดยเร็ว โดยอาจเอาแผลไปรองอยู่ใต้ก๊อกน้ำนาน 10-15 นาที ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ แล้วนำลูกส่งโรงพยาบาล
แผลไหม้จากที่เกิดจากไฟฟ้าดูดจะดูเป็นรอยไหม้เล็ก ๆ แต่แผลไหม้มักจะลึกกว่าแผลไฟไหม้ธรรมดา นอกจากนี้รอยไหม้ยังไม่ได้เกิดเฉพาะตำแหน่งที่กระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นที่ตำแหน่งที่แล่นออกจากร่างกายด้วย แผลไหม้ที่เกิดจากไฟฟ้าดูดนี้เสี่ยงกับการติดเชื้อมาก ดังนั้นแม้จะเป็นแผลขนาดเล็กก็ควรพาลูกไปพบแพทย์
หากหมดสติแต่ยังหายใจอยู่ ให้จับลูกนอนในท่าพักฟื้น เพื่อให้ลูกหายใจได้สะดวก ลิ้นของลูกไม่ตกลงไปปิดทางเดินหายใจ และป้องกันลูกสำลักของเหลวหรืออาเจียน โดยจะช่วยให้ของเหลวหรืออาเจียนไหลออกจากปากได้สะดวก และทำการปฐมพยาบาลบาดแผลที่ถูกไฟดูดหรืออาการบาดเจ็บอื่น ๆ
อุบัติเหตุจากรถเข็นเด็ก
รถเข็นเด็กถือเป็นหนึ่งในผู้ช่วยของคุณแม่ไปแล้ว แต่การจะใช้งานรถเข็นนั้น มีข้อควรระวังและรูปแบบการใช้งานเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย ควรเรียนรู้อุปกรณ์ของรถเข็นให้ครบทุกจุด สายรัดอยู่ตรงส่วนใดบ้าง ล็อกล้อรถเข็นแบบใด และที่สำคัญคุณแม่ควรใช้งานให้คล่องแคล่วในบ้านก่อนจะพาเจ้าตัวเล็กออกนอกบ้าน และเมื่อลูกนั่งควรรัดให้ครบทุกสาย อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาถึงแม้จะเป็นการนั่งเพียงช่วงทางเดินสั้นเดินไปที่รถก็ไม่ควรประมาท
อย่างไรก็ตามรถเข็นลูกไม่ใช่รถเข็นของ จึงไม่ควรวางของหนักเกินไป แต่หากกรณีจำเป็นมีเทคนิคการวางของคือให้วางของในตำแหน่งด้านหลังล่างของรถเข็น อาจจะอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าของล้อหลัง หรือพอดีกับล้อหลัง แต่ไม่ควรแขวนที่ด้ามของรถเข็น เพื่อป้องกันไม่ให้รถเข็นเสียสมดุลจนอาจจะเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง
คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำรถเข็นที่มีเด็กนั่งในรถลงบันไดเลื่อน ยอมช้าและอดทนรอลิฟต์เพื่อความปลอดภัยของลูกจะดีกว่า แต่หากเลี่ยงไม่ได้ควรอุ้มลูกไว้แทนที่จะให้นั่งบนรถเข็น พยายามจับล็อกล้อรถเข็นให้ตรงกับบันไดเลื่อน เพื่อป้องกันรถเข็นหล่นร่วงกรณีที่บันไดเลื่อนสะดุดหรือหยุดกะทันหัน จนเป็นเหตุให้กลิ้งตกลงมาทั้งหมดได้
รถเข็นเด็กถือเป็นหนึ่งในผู้ช่วยของคุณแม่ไปแล้ว แต่การจะใช้งานรถเข็นนั้น มีข้อควรระวังและรูปแบบการใช้งานเพื่อความปลอดภัยของลูกน้อย ควรเรียนรู้อุปกรณ์ของรถเข็นให้ครบทุกจุด สายรัดอยู่ตรงส่วนใดบ้าง ล็อกล้อรถเข็นแบบใด และที่สำคัญคุณแม่ควรใช้งานให้คล่องแคล่วในบ้านก่อนจะพาเจ้าตัวเล็กออกนอกบ้าน และเมื่อลูกนั่งควรรัดให้ครบทุกสาย อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาถึงแม้จะเป็นการนั่งเพียงช่วงทางเดินสั้นเดินไปที่รถก็ไม่ควรประมาท
อย่างไรก็ตามรถเข็นลูกไม่ใช่รถเข็นของ จึงไม่ควรวางของหนักเกินไป แต่หากกรณีจำเป็นมีเทคนิคการวางของคือให้วางของในตำแหน่งด้านหลังล่างของรถเข็น อาจจะอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าของล้อหลัง หรือพอดีกับล้อหลัง แต่ไม่ควรแขวนที่ด้ามของรถเข็น เพื่อป้องกันไม่ให้รถเข็นเสียสมดุลจนอาจจะเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง
คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรนำรถเข็นที่มีเด็กนั่งในรถลงบันไดเลื่อน ยอมช้าและอดทนรอลิฟต์เพื่อความปลอดภัยของลูกจะดีกว่า แต่หากเลี่ยงไม่ได้ควรอุ้มลูกไว้แทนที่จะให้นั่งบนรถเข็น พยายามจับล็อกล้อรถเข็นให้ตรงกับบันไดเลื่อน เพื่อป้องกันรถเข็นหล่นร่วงกรณีที่บันไดเลื่อนสะดุดหรือหยุดกะทันหัน จนเป็นเหตุให้กลิ้งตกลงมาทั้งหมดได้
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558
อาหารสำหรับเด็กที่ฟันกำลังจะขึ้น
อาหารสำหรับเด็กที่ฟันกำลังจะขึ้น
เมื่อูกน้อยฟันกำลังจะขึ้น อาหารที่ควรให้เด็กรับประทานมีดังนี้
เมื่อูกน้อยฟันกำลังจะขึ้น อาหารที่ควรให้เด็กรับประทานมีดังนี้
อาหารสำหรับเด็กที่ฟันกำลังจะขึ้น
อาหารสำหรับเด็กที่ฟันกำลังจะขึ้น ที่เขาพอจะเคี้ยวได้ควรมีอายุตั้งแต่ 7-8 เดือนขึ้นไป อาหารของลูกควรให้ 1-2 มื้อ ประกอบด้วย ข้าวสุก 4 ช้อนกินข้าว บด ไข่ต้มสุกทั้งฟอง เนื้อต้มสุกเช่น ปลาบด 2 ช้อนกินข้าว หรือเนื้อ ไก่ หมู ตับบด 1 ช้อนกินข้าว ผักใบเขียว หรือฟักทองหรือ แครอทต้มสุกบด 2 ช้อนกินข้าว อาหารแต่ละอย่าง ใส่จานหลุมแยกอย่างละหลุม มีน้ำแกงจืดหรือซุป ใส่ไว้ตรงหลุมกลาง อาหารที่บดถ้าแห้งเกินไปให้เติมน้ำแกงจืด จนได้อาหารลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว เมื่อป้อนข้าว 1 ช้อน ตามด้วยน้ำแกงจืดครึ่งช้อน เพื่อช่วยให้เด็กกลืนข้าวลงคอได้สะดวก การแยกอาหารไม่ควรรวมกัน เด็กจะได้รู้จักรสและกลิ่นที่แท้จริงของอาหารแต่ละอย่าง ส่วนผลไม้อาจแยกไปป้อนตอนบ่าย กล้วยต้องขูดไม่เอาไส้ มีฟันลองให้เคี้ยวชิ้นเล็กๆดู ไม่ต้องบดละเอียดเหมือนก่อนฟันขึ้น
อาหารสำหรับเด็กที่ฟันกำลังจะขึ้น ที่เขาพอจะเคี้ยวได้ควรมีอายุตั้งแต่ 7-8 เดือนขึ้นไป อาหารของลูกควรให้ 1-2 มื้อ ประกอบด้วย ข้าวสุก 4 ช้อนกินข้าว บด ไข่ต้มสุกทั้งฟอง เนื้อต้มสุกเช่น ปลาบด 2 ช้อนกินข้าว หรือเนื้อ ไก่ หมู ตับบด 1 ช้อนกินข้าว ผักใบเขียว หรือฟักทองหรือ แครอทต้มสุกบด 2 ช้อนกินข้าว อาหารแต่ละอย่าง ใส่จานหลุมแยกอย่างละหลุม มีน้ำแกงจืดหรือซุป ใส่ไว้ตรงหลุมกลาง อาหารที่บดถ้าแห้งเกินไปให้เติมน้ำแกงจืด จนได้อาหารลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว เมื่อป้อนข้าว 1 ช้อน ตามด้วยน้ำแกงจืดครึ่งช้อน เพื่อช่วยให้เด็กกลืนข้าวลงคอได้สะดวก การแยกอาหารไม่ควรรวมกัน เด็กจะได้รู้จักรสและกลิ่นที่แท้จริงของอาหารแต่ละอย่าง ส่วนผลไม้อาจแยกไปป้อนตอนบ่าย กล้วยต้องขูดไม่เอาไส้ มีฟันลองให้เคี้ยวชิ้นเล็กๆดู ไม่ต้องบดละเอียดเหมือนก่อนฟันขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558
วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย
วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย
วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อยอย่างถูกวิธี
การอาบน้ำให้ลูกน้อยก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คุณแม่มือใหม่ทั้งหลายคงจะตื่นเต้น กังวลหรือบางคนก็อาจจะรู้สึกกลัว ไหนจะกลัวเตรียมของไม่ครบ แถมยังกลัวทำลูกลื่นหลุดมือ กลัวลูกจะเจ็บเพราะอุ้มไม่ถนัดมือ หรือแม้กระทั่งกลัวว่าฟองจะเข้าตาลูก ดังนั้น มีขั้นตอนการอาบน้ำอย่างถูกวิธีมาฝาก เป็นการช่วยเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคุณแม่มือใหม่
วิธีอาบน้ำ-สระผม
การเตรียมอุปกรณ์
- น้ำอุ่นพอดีๆ
- อ่างอาบน้ำใบเล็กๆ
- สบู่เหลวอาบน้ำและสระผม สำหรับเด็ก
-ผ้าเช็ดตัวนุ่มๆ
- เสื้อผ้าของลูกน้อย
-ฟองน้ำ
- ผ้ากอซเล็ก
-สำลี และคอตตอนบัด
- น้ำต้มสุกใส่ภาชนะสะอาด
วิธีสระผมให้ลูกน้อย
วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อยอย่างถูกวิธี
การอาบน้ำให้ลูกน้อยก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่คุณแม่มือใหม่ทั้งหลายคงจะตื่นเต้น กังวลหรือบางคนก็อาจจะรู้สึกกลัว ไหนจะกลัวเตรียมของไม่ครบ แถมยังกลัวทำลูกลื่นหลุดมือ กลัวลูกจะเจ็บเพราะอุ้มไม่ถนัดมือ หรือแม้กระทั่งกลัวว่าฟองจะเข้าตาลูก ดังนั้น มีขั้นตอนการอาบน้ำอย่างถูกวิธีมาฝาก เป็นการช่วยเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคุณแม่มือใหม่
วิธีอาบน้ำ-สระผม
การเตรียมอุปกรณ์
- น้ำอุ่นพอดีๆ
- อ่างอาบน้ำใบเล็กๆ
- สบู่เหลวอาบน้ำและสระผม สำหรับเด็ก
-ผ้าเช็ดตัวนุ่มๆ
- เสื้อผ้าของลูกน้อย
-ฟองน้ำ
- ผ้ากอซเล็ก
-สำลี และคอตตอนบัด
- น้ำต้มสุกใส่ภาชนะสะอาด
วิธีสระผมให้ลูกน้อย
1. แกะผ้าห่อตัวหรือถอดเสื้อผ้าลูกออกแล้ว ห่อตัวด้วยผ้าเช็ดตัวนุ่มๆ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
2. เริ่มทำความสะอาดจากใบหน้าก่อน โดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำบิดพอหมาดเช็ดใบหน้าลูก
3. อุ้มด้วยมือที่ไม่ถนัด ประคองบริเวณต้นคอ ใช้นิ้วหัวแม่โป้งปิดหู แล้วใช้ข้อศอกหนีบบริเวณสะโพกลูกไว้ ชโลมน้ำให้ทั่วศีรษะระวังอย่าวักน้ำใส่บริเวณใกล้ดวงตา ใช้มือข้างที่ว่างกดแชมพูไล้ให้ทั่วศีรษะเบาๆ (อย่าลืม! ระวังเป็นพิเศษบริเวณกระหม่อม และปิดหูลูกเสมอนะคะ)
4. ล้างฟองออกด้วยฟองน้ำ หรือผ้าขนหนูเล็กๆ ชุบน้ำ หากสบู่เหลวที่คุณแม่เลือกใช้เป็นสูตรโนโมเทียร์ คุณแม่ก็ไม่ต้องคอยกังวลว่าฟองจะทำให้ลูกแสบตา เพราะเป็นสูตรที่อ่อนละมุนต่อดวงตาไม่ต่างจากน้ำบริสุทธิ์เลยค่ะ
5. จากนั้นวางลูกไว้บนเบาะเช็ดผมให้แห้ง เป็นอันเสร็จขั้นตอนการสระผมให้ลูกค่ะ
วิธีอาบน้ำให้ลูกน้อย
1. แกะผ้าห่อตัวและผ้าอ้อมลูกออก ถ้าลูกปัสสาวะหรืออุจจาระให้ใช้สำลีเปียกที่เตรียมไว้เช็ดทำความสะอาดก่อน
2. ใช้ฟองน้ำชโลมน้ำให้ทั่วตัวลูกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กดสบู่เหลวใส่มือข้างหนึ่งมืออีกข้างหนึ่ง ล็อกแขนลูกไว้ทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้แขนลูกปัดสบู่เข้าตา ลูบสบู่ให้ทั่วตัว
3. จากนั้นใช้มือซ้ายจับต้นแขนด้านไกลตัวลูกโดยให้ศีรษะลูกอยู่ที่ข้อมือ ส่วนมืออีกข้างประคองก้น ลูกไว้ ค่อยๆ วางลูกลงในอ่างน้ำ
4. จับแขนลูกให้แน่น ปล่อยมือข้างที่ประคองก้น เปลี่ยนมาจับฟองน้ำ เริ่มจากล้างที่มือลูกก่อน ตามด้วยซอกแขน ลำตัว ล้างขา และซอกขาด้วย
5. ปล่อยฟองน้ำเอามือไปจับต้นแขนแทน ดันลูกไปด้านหน้า คว่ำหน้าลูกลงแล้วล้างด้านหลังลูกให้ทั่ว
6. เมื่ออาบน้ำลูกจนสะอาดแล้ว จับก้นลูกยกขึ้นจากน้ำมาวางบนผ้าเช็ดตัวนุ่มๆ ที่ปูรองไว้ แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวอีกผืน ค่อยๆ ซับน้ำให้ทั่วตัว รวมทั้งบริเวณซอกคอและข้อพับให้แห้ง ก่อนที่จะห่อตัวลูกไว้ชั่วคราวให้ร่างกายอบอุ่น
7. ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกบีบพอหมาดเช็ดตาลูก โดยเช็ดจากหัวตาไปหางตา นำคอตตอนบัดสะอาดเช็ดจมูกทั้ง 2 ข้าง
8. ใช้คอตตอนบัดอันใหม่เช็ดใบหู เช็ดจากด้านในวนออกด้านนอก และพับใบหูเพื่อเช็ดข้างหลังทำเหมือนกันทั้ง 2 ข้าง
9. ใช้ผ้ากอซพันปลายนิ้วชุบน้ำต้มสุกบีบพอ หมาดเช็ดปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดาน เหงือกบนและ เหงือกล่างของลูก และคุณแม่เตรียมตัวเช็ดสะดือให้ลูกน้อยเป็นขั้นตอนต่อไปค่ะ
2. ใช้ฟองน้ำชโลมน้ำให้ทั่วตัวลูกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง กดสบู่เหลวใส่มือข้างหนึ่งมืออีกข้างหนึ่ง ล็อกแขนลูกไว้ทั้ง 2 ข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้แขนลูกปัดสบู่เข้าตา ลูบสบู่ให้ทั่วตัว
3. จากนั้นใช้มือซ้ายจับต้นแขนด้านไกลตัวลูกโดยให้ศีรษะลูกอยู่ที่ข้อมือ ส่วนมืออีกข้างประคองก้น ลูกไว้ ค่อยๆ วางลูกลงในอ่างน้ำ
4. จับแขนลูกให้แน่น ปล่อยมือข้างที่ประคองก้น เปลี่ยนมาจับฟองน้ำ เริ่มจากล้างที่มือลูกก่อน ตามด้วยซอกแขน ลำตัว ล้างขา และซอกขาด้วย
5. ปล่อยฟองน้ำเอามือไปจับต้นแขนแทน ดันลูกไปด้านหน้า คว่ำหน้าลูกลงแล้วล้างด้านหลังลูกให้ทั่ว
6. เมื่ออาบน้ำลูกจนสะอาดแล้ว จับก้นลูกยกขึ้นจากน้ำมาวางบนผ้าเช็ดตัวนุ่มๆ ที่ปูรองไว้ แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวอีกผืน ค่อยๆ ซับน้ำให้ทั่วตัว รวมทั้งบริเวณซอกคอและข้อพับให้แห้ง ก่อนที่จะห่อตัวลูกไว้ชั่วคราวให้ร่างกายอบอุ่น
7. ใช้สำลีชุบน้ำต้มสุกบีบพอหมาดเช็ดตาลูก โดยเช็ดจากหัวตาไปหางตา นำคอตตอนบัดสะอาดเช็ดจมูกทั้ง 2 ข้าง
8. ใช้คอตตอนบัดอันใหม่เช็ดใบหู เช็ดจากด้านในวนออกด้านนอก และพับใบหูเพื่อเช็ดข้างหลังทำเหมือนกันทั้ง 2 ข้าง
9. ใช้ผ้ากอซพันปลายนิ้วชุบน้ำต้มสุกบีบพอ หมาดเช็ดปาก ลิ้น กระพุ้งแก้ม เพดาน เหงือกบนและ เหงือกล่างของลูก และคุณแม่เตรียมตัวเช็ดสะดือให้ลูกน้อยเป็นขั้นตอนต่อไปค่ะ
ตรวจร่างกายก่อนตั้งครรภ์
ตรวจร่างกายก่อนตั้งครรภ์
ตรวจร่างกายก่อนตั้งครรภ์
การตวรจร่างกายก่อนตั้งครรภ์ เป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราคุณพ่อคุณแม่ต้องเตรียมพร้อมทางด้านสุขภาพเพื่อที่จะได้ปลอดภัยกับลูกน้อย
ในอดีตที่ไม่มีการรณรงค์ให้คู่สามีภรรยาตรวจร่างกายก่อนตั้งครรภ์ พบว่าโรคทางพันธุกรรมต่าง ๆ ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตได้ เพราะคุณไม่ทราบว่าต้องเตรียมรับมืออย่างไรเมื่อลูกน้อยคลอดมา หรือมีวิธีการดูแลตัวเองอย่างไรให้ทารกในครรภ์แข็งแรงได้ หลายครั้งสำหรับคู่สมรสที่ไม่ได้ตรวจร่างกายแล้วเกิดการแท้งบุตรขึ้น สร้างความเสียใจให้กับคุณพ่อคุณแม่มือใหม่อย่างมาก โรคที่ถ่ายทอดสู่ทารกได้คือ โรคธาลัสซีเมีย โรคฮีโมฟีเลีย เป็นต้น และโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ อย่างซิฟิลิส ตับอักเสบบี แม้กระทั่งเอดส์
ซึ่งแพทย์จะซักประวัติเกี่ยวกับโรคประจำตัว และทำการตรวจโลหิตหาการเป็นพาหะหรือเป็นโรคโลหิตจางหรือไม่ ตรวจหาภูมิต้านทานโรคหัดเยอรมัน เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกมีความพิการแต่กำเนิด หากว่าที่คุณแม่ยังไม่เคยเป็นหัดเยอรมันหรือไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน คุณหมอก็จะฉีดวัคซีนป้องกันหัดเยอรมัน ซึ่งต้องฉีดก่อนการตั้งครรภ์อย่างน้อย 3 เดือน
ปัญหาน้ำหนักตัวก็ส่งผลต่อการตั้งครรภ์ของคุณแม่ได้ หากน้ำหนักเกินกว่าเกณฑ์ควรลดน้ำหนักลงหรือน้อยกว่าเกณฑ์ควรเพิ่มน้ำหนักสักหน่อย สำหรับคุณแม่ที่น้ำหนักตัวมากโอกาสป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูง เป็นอุปสรรคสำหรับการตั้งครรภ์ และคุณแม่ที่น้ำหนักตัวน้อยโอกาสมีลูกจะยากขึ้น การเตรียมร่างกายให้แข็งแรง และรับประทานอาหารอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะแคลเซียม โฟเลต ธาตุเหล็ก โปรตีน ที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ นั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากต่อการตั้งครรภ์
"ถ้าคุณแม่รับประทานยาคุมกำเนิดอยู่ ควรหยุดยาอย่างน้อย 2 เดือน เพื่อให้ร่างกายปรับสภาพสู่ปกติ เพราะมีฮอร์โมนบางตัวที่ถูกระงับ หรือบางตัวหลั่งมากเกินไป หากคุณแม่รับประทานยามานานกว่าปีอาจใช้เวลานานขึ้นเพื่อปรับร่างกายสู่สภาพปกติค่ะ".
วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2558
สาเหตุที่ทำให้แท้ง
สาเหตุที่ทำให้แท้ง
สาเหตุที่ทำให้แท้ง
สาเหตุที่ทำให้แท้ง
สาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการแท้ง
1.คุณแม่ (สูบบุหรี่ กินเหล้า เมายา และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ)
ทำไมจึงทำให้แท้ง สารนิโคตินสามารถผ่านเข้าไปสู่รกผ่านระบบเลือดและมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และมีโอกาสแท้งได้มากกว่าคุณแม่ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 2 เท่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 2 แก้วต่อวันก็เสี่ยงแท้งด้วยเช่นกัน รวมถึงการใช้สารเสพติดด้วย นอกจากนี้คุณแม่ที่ทำงานในฟาร์ม ห้องผ่าตัด ร้านทันตกรรม และห้องแล็บในโรงพยาบาล มีอัตราเสี่ยงแท้งสูงกว่าอาชีพอื่นๆโดยไม่ทราบสาเหตุ
2.ปัญหาความผิดปกติของรก
รก เป็นอวัยวะที่สำคัญที่ช่วยให้เด็กมีชีวิตรอดขณะอยู่ในครรภ์มารดา รกทำหน้าที่เหมือนแหล่งอาหารสำหรับทารกเพราะมันเชื่อมต่อลูกน้อยกับช่องทางการส่งเลือดจากแม่ ถ้ารกถูกสร้างขึ้นอย่างผิดรูป ทารกจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม และอาจก่อให้เกิดภาวะการแท้งในที่สุด
3.ความผิดปกติของโครโมโซม
สำหรับการตั้งครรภ์ คู่สามีภรรยาต้องมีโครโมโซม 23 คู่ ตัวอ่อนในครรภ์กับโครโมโซมทั้งหมด 46 แท่งหมายถึงการตั้งครรภ์นั้นประสบผลสำเร็จ แต่หากมีโครโมโซมน้อยหรือมากเกินกว่าที่กล่าวไป ครรภ์นั้นก็จะจบลงด้วยการแท้ง สิ่งเหล่านี้เกิดจากการพัฒนาการของตัวอ่อนที่ผิดปกติ
4.การติดเชื้อ
เมื่อใดก็ตามที่หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อ อย่างเช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มาลาเรีย หัดเยอรมัน หรือโรคเอดส์ ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องพบกับการแท้งแบบอัตโนมัติ แต่จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะแท้งบุตรตามมา
5.การเจ็บป่วย
อาการป่วยแบบเรื้อรัง เช่น โรคไทรอยด์ โรคเบาหวานชนิดที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ โรคความดันโลหิตสูงแบบรุนแรงและโรคภูมิแพ้ตัวเอง (lupus) จะมีความเสี่ยงสูงในการแท้งบุตรได้
สาเหตุที่ทำให้แท้ง
สาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการแท้ง
1.คุณแม่ (สูบบุหรี่ กินเหล้า เมายา และอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ)
ทำไมจึงทำให้แท้ง สารนิโคตินสามารถผ่านเข้าไปสู่รกผ่านระบบเลือดและมีผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ และมีโอกาสแท้งได้มากกว่าคุณแม่ที่ไม่สูบบุหรี่ถึง 2 เท่า การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากกว่า 2 แก้วต่อวันก็เสี่ยงแท้งด้วยเช่นกัน รวมถึงการใช้สารเสพติดด้วย นอกจากนี้คุณแม่ที่ทำงานในฟาร์ม ห้องผ่าตัด ร้านทันตกรรม และห้องแล็บในโรงพยาบาล มีอัตราเสี่ยงแท้งสูงกว่าอาชีพอื่นๆโดยไม่ทราบสาเหตุ
2.ปัญหาความผิดปกติของรก
รก เป็นอวัยวะที่สำคัญที่ช่วยให้เด็กมีชีวิตรอดขณะอยู่ในครรภ์มารดา รกทำหน้าที่เหมือนแหล่งอาหารสำหรับทารกเพราะมันเชื่อมต่อลูกน้อยกับช่องทางการส่งเลือดจากแม่ ถ้ารกถูกสร้างขึ้นอย่างผิดรูป ทารกจะไม่สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเหมาะสม และอาจก่อให้เกิดภาวะการแท้งในที่สุด
3.ความผิดปกติของโครโมโซม
สำหรับการตั้งครรภ์ คู่สามีภรรยาต้องมีโครโมโซม 23 คู่ ตัวอ่อนในครรภ์กับโครโมโซมทั้งหมด 46 แท่งหมายถึงการตั้งครรภ์นั้นประสบผลสำเร็จ แต่หากมีโครโมโซมน้อยหรือมากเกินกว่าที่กล่าวไป ครรภ์นั้นก็จะจบลงด้วยการแท้ง สิ่งเหล่านี้เกิดจากการพัฒนาการของตัวอ่อนที่ผิดปกติ
4.การติดเชื้อ
เมื่อใดก็ตามที่หญิงตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อ อย่างเช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มาลาเรีย หัดเยอรมัน หรือโรคเอดส์ ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องพบกับการแท้งแบบอัตโนมัติ แต่จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะแท้งบุตรตามมา
5.การเจ็บป่วย
อาการป่วยแบบเรื้อรัง เช่น โรคไทรอยด์ โรคเบาหวานชนิดที่ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ โรคความดันโลหิตสูงแบบรุนแรงและโรคภูมิแพ้ตัวเอง (lupus) จะมีความเสี่ยงสูงในการแท้งบุตรได้
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
อาเกิดที่ชอบเกิดขึ้นกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 เดือน
อาเกิดที่ชอบเกิดขึ้นกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 เดือน
อาเกิดที่ชอบเกิดขึ้นกับลูกน้อยตั้งแต่แรกเกิดถึง 3 เดือน
ตั้งแต่การตั้งครรภ์ จนถึงหลังคลอด คุณแม่มือใหม่อาจกังวลกับอาการต่างๆ ที่อาจเกิดกับลูกน้อย แต่บางอาการก็ถือเป็นอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มาดูอาการที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กแรกเกิดและหาทางรับมือกันดีกว่า
อาการสะอึก
ถือว่าเป็นอาการปกติ สามารถเกิดขึ้นได้จากการดูดนมมากหรือเร็วเกินไป แก้ไขด้วยการจับอุ้มพาดบ่าหรือจับนั่งไล่ลม
อาการสะดุ้ง ผวา
อาการปกติที่เกิดขึ้นได้ แทบจะเป็นกับเด็กทุกคน แนะนำให้นอนตะแคงลดการผวา และยังทำให้หัวสวยด้วย หรือนำผ้าห่มพาดตัวไว้
อาการแหวะนม
เนื่องจากในเด็ก หูรูดกระเพาะอาหารยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ลูกแหวะนมได้ ควรจับลูกเรอด้วยการอุ้มพาดบ่าหรือนั่งทุกครั้งหลังกินนม ให้กินนมทีละน้อยอย่ามากเกินไป หลังกินนมอย่าเพิ่งจับนอนราบในทันที
ลิ้นขาว
เนื่องจากลูกน้อยทานแต่นม จึงอาจเกิดฝ้าขาวที่ลิ้นได้ ถ้าเป็นเด็กนมแม่ล้วนๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรค่ะ แต่ถ้ากังวลมาก ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ
ผื่นผ้าอ้อม
เกิดจากความชื่นจากการใส่ผ้าอ้อมหรือแพมเพิสนานเกินไป หรืออาจจะแพ้แพมเพิส ควรให้ผิวของลูกแห้ง อย่าปล่อยให้ชื้นนาน
ท้องผูก
เด็กนมแม่ล้วน ไม่จำเป็นต้องถ่ายทุกวันนะคะ เพราะนมแม่ย่อยง่ายลูกดูดซึมได้หมดไม่เหลือกากให้ขับถ่ายออกมา ส่วนเด็กที่กินนมผสมหากท้องผูกปรับลดวิธีการชงให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม
ตั้งแต่การตั้งครรภ์ จนถึงหลังคลอด คุณแม่มือใหม่อาจกังวลกับอาการต่างๆ ที่อาจเกิดกับลูกน้อย แต่บางอาการก็ถือเป็นอาการที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มาดูอาการที่อาจเกิดขึ้นได้กับเด็กแรกเกิดและหาทางรับมือกันดีกว่า
อาการสะอึก
ถือว่าเป็นอาการปกติ สามารถเกิดขึ้นได้จากการดูดนมมากหรือเร็วเกินไป แก้ไขด้วยการจับอุ้มพาดบ่าหรือจับนั่งไล่ลม
อาการสะดุ้ง ผวา
อาการปกติที่เกิดขึ้นได้ แทบจะเป็นกับเด็กทุกคน แนะนำให้นอนตะแคงลดการผวา และยังทำให้หัวสวยด้วย หรือนำผ้าห่มพาดตัวไว้
อาการแหวะนม
เนื่องจากในเด็ก หูรูดกระเพาะอาหารยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้ลูกแหวะนมได้ ควรจับลูกเรอด้วยการอุ้มพาดบ่าหรือนั่งทุกครั้งหลังกินนม ให้กินนมทีละน้อยอย่ามากเกินไป หลังกินนมอย่าเพิ่งจับนอนราบในทันที
ลิ้นขาว
เนื่องจากลูกน้อยทานแต่นม จึงอาจเกิดฝ้าขาวที่ลิ้นได้ ถ้าเป็นเด็กนมแม่ล้วนๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรค่ะ แต่ถ้ากังวลมาก ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดเบาๆ
ผื่นผ้าอ้อม
เกิดจากความชื่นจากการใส่ผ้าอ้อมหรือแพมเพิสนานเกินไป หรืออาจจะแพ้แพมเพิส ควรให้ผิวของลูกแห้ง อย่าปล่อยให้ชื้นนาน
ท้องผูก
เด็กนมแม่ล้วน ไม่จำเป็นต้องถ่ายทุกวันนะคะ เพราะนมแม่ย่อยง่ายลูกดูดซึมได้หมดไม่เหลือกากให้ขับถ่ายออกมา ส่วนเด็กที่กินนมผสมหากท้องผูกปรับลดวิธีการชงให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
คุณแม่สวยอย่างไรปลอดภัยลูกในครรภ์
คุณแม่สวยอย่างไรปลอดภัยลูกในครรภ์
สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ที่อยากสวยแบบปลอยภัยกับลูกในครรภ์ เรื่องความสวยความงามเป็นของคู่กันกับผู้หญิง เป็นเรื่องที่ขาดกันไม่ได้ค่ะ แม้ว่าคุณกำลังอยู่ในฐานะว่าที่คุณแม่คนใหม่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เสื้อผ้า หน้า ผม ผิวพรรณ ก็ต้องดูแลอยู่สมำเสมอ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์ด้วยว่าแล้วอะไรบ้างที่ว่าที่คุณแม่ทำได้ทำไม่ได้ ในการดูแลตัวเอง มาดูกันค่ะ
สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ที่อยากสวยแบบปลอยภัยกับลูกในครรภ์ เรื่องความสวยความงามเป็นของคู่กันกับผู้หญิง เป็นเรื่องที่ขาดกันไม่ได้ค่ะ แม้ว่าคุณกำลังอยู่ในฐานะว่าที่คุณแม่คนใหม่ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เสื้อผ้า หน้า ผม ผิวพรรณ ก็ต้องดูแลอยู่สมำเสมอ แต่ทั้งนี้ก็ต้องไม่ลืมเรื่องความปลอดภัยของลูกน้อยในครรภ์ด้วยว่าแล้วอะไรบ้างที่ว่าที่คุณแม่ทำได้ทำไม่ได้ ในการดูแลตัวเอง มาดูกันค่ะ
ทำสีผม
ว่ากันว่าการทำสีผมขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เจ้าตัวน้อยได้รับสารเคมีที่อยู่ในน้ำยาทำสีผม จริงหรือไม่มีงานวิจัยที่แน่ชัด แต่ทั้งนี้หากต้องการจะทำ ควรรอให้เข้าสู่ไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์เสียก่อน เพราะเป็นช่วงที่อวัยวะของทารกในครรภ์พัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว หรือเพื่อให้ปลอดภัยกว่านั้น อาจเลือกทำเพียงไฮไลท์ แทนการย้อมสีผมทั้งหมด เพราะการทำไฮไลท์ น้ำยาเคมีไม่ต้องสัมผัสกับหนังศีรษะของว่าที่คุณแม่ ดังนั้นสารเคมีจึงมีโอกาสสู่กระแสเลือดน้อยกว่า แต่ทั้งนี้อย่าลืมนะคะว่า ควรรอให้ผ่านช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เสียก่อน
ดัดผม
ความกลัวที่ว่าน้ำยาดัดผมจะส่งผลถึงลูกน้อยในท้องนั้นยังไม่มีการศึกษาที่พบว่า น้ำยาดัดผมส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ ยกเว้นเสียแต่กลิ่นที่ค่อนข้างแรงของน้ำยาดัดผม ที่อาจทำให้คุณแม่รู้ว่าคลื่นไส้ เวียนหัวได้ อีกปัญหาหนึ่งก็คือ การดัดผมขณะที่ตั้งครรภ์ ซึ่งสภาพผมของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ผมที่ดัดออกมา ไม่ได้ทรงตามที่ตั้งใจ แต่หากคุณกังวล และกล้าๆ กลัวๆ เพื่อความสบายใจ รอให้คลอดก่อนค่อยดัดผมทรงใหม่ก็ไม่สาย จริงไหมคะ
นวดตัว
การนวดในระหว่างตั้งครรภ์ชช่วยให้คุณแม่ รู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีทั้งยังกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการปวดเมื่อยต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือผู้นวด หรือเธอราพิส ควรมีความรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ และควรเลือกใช้น้ำมันนวดที่ปราศจากกลิ่น เพราะจะช่วยลดอาการต้องการเข้าห้องน้ำบ่อยๆ
ฟอกฟันขาว
ยังไม่เคยมีการศึกษาถึงความปลอดภัยของการฟอกฟันขาวในขณะตั้งครรภ์ ดังนั้นว่าที่คุณแม่ที่คิดจะฟอกสีฟันในช่วงนี้ อาจจะต้องยับยั้งใจไว้ก่อนค่ะ นอกจากนี้เหงือกของคุณอาจมีความไวเป็นพิเศษทำให้เลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังตั้งครรภ์ และเกิดคิดอยากจะฟอกฟันให้ขาว รอหลังคลอด จะปลอดภัยกว่านะคะ
ทำเล็บ
ยินดีด้วยค่ะ เพราะการทำเล็บไม่ว่าจะเล็บมือหรือเล็บเท้า ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และสามารถทำได้ในทุกช่วงของการตั้งครร์ อีกทั้ง มีการศึกษาพบว่ายาทาเล็บแม้จะมีส่วนผสมของสารเคมี แต่ก็ไม่สามารถถูกดูดซิมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเล็บได้ ทั้งยังไม่พบว่ายาทาเล็บส่งผลต่ออาการพิการแต่กำเนิด อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบบ่อยในการทำเล็บสำหรับว่าที่คุณแม่คือ คุณอาจมีอาการเวียนหัว คลื่อนใส้ หากอากาศภายในร้านไม่มีการถ่ายเทที่ดี ดังนั้น หากเป็นไปได้ควรเลือกนั่งใกล้ประตูหรือหน้าต่าง เพื่อไม่ต้องสูดดมกลิ่นของน้ำยาต่างๆ มากเกินไป
ติดเล็บอะคริลิค
นอกจากกลิ่นที่ค่อนข้างแรงของน้ำยาทำเล็บแล้ว ผลเสียของการติดเล็บอะคริลิกโดยตรงต่อการตั้งครรภ์นั้นยังไม่พบ แต่มีความเป็นไปได้ว่าการติดเล็บอะคริลิค อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดอาการแพ้ เป็นเชื้อรา หรือติดเชือแบคทีเรีย ไม่ว่าคุณจะตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ เล็บของว่าที่คุณแม่จะแข็งแรงขึ้นมากในช่วงนี้ จนคุณอาจพบว่าการปล่อยให้เล็บสวยงามตามธรรมชาติบ้าง ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดเชื้อทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาดูแลอีกด้วย
บ่อน้ำร้อน จากุซซี่ และห้องเซาน์น่า
มีการศักษาที่พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิการแต่กำเนิดของทารก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการแช่บ่อน้ำร้อน จากุซซี่ รวมทั้งการอบตัว และซาวน่าแต่การแช่อ่างน้ำอุ่นที่บ้านซึ่งอุณหภูมิของน้ำไม่สูงมากนัก เป็นเรื่องที่ทำได้เพราะแขน หัวเข่า และไหล่ ของคุณมักอยู่พ้นระดับน้ำ ทำให้อุณหภูมิโดยรวมไม่ขึ้นสูงจนถึงระดับอันตรายเมื่อเที่ยบกับจากุซซี่หรือบ่อน้ำร้อน ที่คุณต้องลงไปแช่ทั้งตัว
นวดหน้า
คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งขณะตั้งครรภ์ ไม่มีใครคาดเดาได้ค่ะว่าผิวของคุณจะเปลี่ยนไปเช่นไรขณะกำลังมีน้อง หลายคนผิวเปล่งปลั่งขณะที่อีกหลายคนกลายเป็นฝ้า มีกระขึ้นเต็มหน้าไปหมด การนวดหน้าจึงเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยปรับสภาพผิวให้ว่าที่คุณแม่ได้ แต่ทั้งนี้ ควรตระหนักว่าผิวของคุณจะบอบบางมากในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงการกรอผิวด้วยผงคริสตัล และการผลัดเซลล์ผิว หากคุณเลือกที่จะนวดหน้า ควรเลือกครีมนวดหน้าที่มีกลิ่นไม่แรงมากนัก และควรหาหมอนใบเล็กๆ ไว้รองหลัง เพื่อที่แผ่นหลังของคุณจะได้ไม่ต้องนอนราบลงกับเบาะหรือเก้าอี้นวดหน้าเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ทำให้คุณมีอาการเวียนหัวได้
แว๊กซ์
บรรดาขนต่างๆ ล้วนเป็นศัตรูอย่างหนึ่งของสตรีเพศค่ะ ไม่ว่าจะขนรักแร้ ขนเหนือริมฝีปาก ขนหน้าแข้ง การแว๊กซ์จึงเป็นทางออกที่ง่าย และเร็ว ซึ่งหากคุณคุ้นเคย และทำมาก่อนที่จะตั้งครรภ์ คุณก็สามารถทำต่อไปได้ แต่ควรระมัดระวังเรื่องสุขอนามัย หากไปทำที่ร้านก็ควรเลือกร้านที่มั่นใจในเรื่องความสะอาด อย่างไรก็ตาม หากคุณแว๊กซ์ในช่วงใกล้คลอด อาจทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัว ซึ่งไม่ค่อยปลอดภัยนักหากคุณยังตั้งครรภ์ไม่ครบ37 สัปดาห์ รวมทั้งผิวของคุณแม่อาจมีการระคายเคืองมากขึ้นในช่วงนี้จึงควรระมัดระวังด้วย
แต่งหน้า
คนงามเพราะแต่ง คุณแม่ที่แต่งหน้าอยู่เป็นประจำอาจลืมที่จะคำนึงถึงผลกระทบจากการใช้เครื่องสำอางต่อลูกน้อยในครรภ์ มาดูกันก่อนดีกว่าว่าเครื่องสำอางที่คุณใช้นั้นปลอดภัยจริงหรือเปล่า ผลิตภัณฑ์บางชนิดระบุว่า noncomedogenic หรือ nonacnegenic ซึ่งหมายความว่าปราศจากนํ้ามัน และไม่อุดตันรูขุมขน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ใช้ได้ และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ แต่ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ retinol หรือ salicylic acid ซึ่งส่วนใหญ่พบในผลิตภัณฑ์รักษาสิว อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการให้ปลอดภัย 100%
ว่ากันว่าการทำสีผมขณะตั้งครรภ์ จะทำให้เจ้าตัวน้อยได้รับสารเคมีที่อยู่ในน้ำยาทำสีผม จริงหรือไม่มีงานวิจัยที่แน่ชัด แต่ทั้งนี้หากต้องการจะทำ ควรรอให้เข้าสู่ไตรมาสที่ 2-3 ของการตั้งครรภ์เสียก่อน เพราะเป็นช่วงที่อวัยวะของทารกในครรภ์พัฒนาอย่างเต็มที่แล้ว หรือเพื่อให้ปลอดภัยกว่านั้น อาจเลือกทำเพียงไฮไลท์ แทนการย้อมสีผมทั้งหมด เพราะการทำไฮไลท์ น้ำยาเคมีไม่ต้องสัมผัสกับหนังศีรษะของว่าที่คุณแม่ ดังนั้นสารเคมีจึงมีโอกาสสู่กระแสเลือดน้อยกว่า แต่ทั้งนี้อย่าลืมนะคะว่า ควรรอให้ผ่านช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์เสียก่อน
ดัดผม
ความกลัวที่ว่าน้ำยาดัดผมจะส่งผลถึงลูกน้อยในท้องนั้นยังไม่มีการศึกษาที่พบว่า น้ำยาดัดผมส่งผลกระทบต่อลูกน้อยในครรภ์ ยกเว้นเสียแต่กลิ่นที่ค่อนข้างแรงของน้ำยาดัดผม ที่อาจทำให้คุณแม่รู้ว่าคลื่นไส้ เวียนหัวได้ อีกปัญหาหนึ่งก็คือ การดัดผมขณะที่ตั้งครรภ์ ซึ่งสภาพผมของคุณแม่มีการเปลี่ยนแปลงอาจทำให้ผมที่ดัดออกมา ไม่ได้ทรงตามที่ตั้งใจ แต่หากคุณกังวล และกล้าๆ กลัวๆ เพื่อความสบายใจ รอให้คลอดก่อนค่อยดัดผมทรงใหม่ก็ไม่สาย จริงไหมคะ
นวดตัว
การนวดในระหว่างตั้งครรภ์ชช่วยให้คุณแม่ รู้สึกผ่อนคลายได้เป็นอย่างดีทั้งยังกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ลดอาการปวดเมื่อยต่างๆ แต่สิ่งสำคัญคือผู้นวด หรือเธอราพิส ควรมีความรู้เรื่องความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของหญิงตั้งครรภ์ และควรเลือกใช้น้ำมันนวดที่ปราศจากกลิ่น เพราะจะช่วยลดอาการต้องการเข้าห้องน้ำบ่อยๆ
ฟอกฟันขาว
ยังไม่เคยมีการศึกษาถึงความปลอดภัยของการฟอกฟันขาวในขณะตั้งครรภ์ ดังนั้นว่าที่คุณแม่ที่คิดจะฟอกสีฟันในช่วงนี้ อาจจะต้องยับยั้งใจไว้ก่อนค่ะ นอกจากนี้เหงือกของคุณอาจมีความไวเป็นพิเศษทำให้เลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ เพราะฉะนั้นหากคุณกำลังตั้งครรภ์ และเกิดคิดอยากจะฟอกฟันให้ขาว รอหลังคลอด จะปลอดภัยกว่านะคะ
ทำเล็บ
ยินดีด้วยค่ะ เพราะการทำเล็บไม่ว่าจะเล็บมือหรือเล็บเท้า ปลอดภัยสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ และสามารถทำได้ในทุกช่วงของการตั้งครร์ อีกทั้ง มีการศึกษาพบว่ายาทาเล็บแม้จะมีส่วนผสมของสารเคมี แต่ก็ไม่สามารถถูกดูดซิมเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเล็บได้ ทั้งยังไม่พบว่ายาทาเล็บส่งผลต่ออาการพิการแต่กำเนิด อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่พบบ่อยในการทำเล็บสำหรับว่าที่คุณแม่คือ คุณอาจมีอาการเวียนหัว คลื่อนใส้ หากอากาศภายในร้านไม่มีการถ่ายเทที่ดี ดังนั้น หากเป็นไปได้ควรเลือกนั่งใกล้ประตูหรือหน้าต่าง เพื่อไม่ต้องสูดดมกลิ่นของน้ำยาต่างๆ มากเกินไป
ติดเล็บอะคริลิค
นอกจากกลิ่นที่ค่อนข้างแรงของน้ำยาทำเล็บแล้ว ผลเสียของการติดเล็บอะคริลิกโดยตรงต่อการตั้งครรภ์นั้นยังไม่พบ แต่มีความเป็นไปได้ว่าการติดเล็บอะคริลิค อาจทำให้ผิวบริเวณนั้นเกิดอาการแพ้ เป็นเชื้อรา หรือติดเชือแบคทีเรีย ไม่ว่าคุณจะตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ก็ตาม นอกจากนี้ เล็บของว่าที่คุณแม่จะแข็งแรงขึ้นมากในช่วงนี้ จนคุณอาจพบว่าการปล่อยให้เล็บสวยงามตามธรรมชาติบ้าง ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องการติดเชื้อทั้งยังไม่ต้องเสียเวลาดูแลอีกด้วย
บ่อน้ำร้อน จากุซซี่ และห้องเซาน์น่า
มีการศักษาที่พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิการแต่กำเนิดของทารก โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการแช่บ่อน้ำร้อน จากุซซี่ รวมทั้งการอบตัว และซาวน่าแต่การแช่อ่างน้ำอุ่นที่บ้านซึ่งอุณหภูมิของน้ำไม่สูงมากนัก เป็นเรื่องที่ทำได้เพราะแขน หัวเข่า และไหล่ ของคุณมักอยู่พ้นระดับน้ำ ทำให้อุณหภูมิโดยรวมไม่ขึ้นสูงจนถึงระดับอันตรายเมื่อเที่ยบกับจากุซซี่หรือบ่อน้ำร้อน ที่คุณต้องลงไปแช่ทั้งตัว
นวดหน้า
คุณอาจสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งขณะตั้งครรภ์ ไม่มีใครคาดเดาได้ค่ะว่าผิวของคุณจะเปลี่ยนไปเช่นไรขณะกำลังมีน้อง หลายคนผิวเปล่งปลั่งขณะที่อีกหลายคนกลายเป็นฝ้า มีกระขึ้นเต็มหน้าไปหมด การนวดหน้าจึงเป็นวิธีที่ดีที่จะช่วยปรับสภาพผิวให้ว่าที่คุณแม่ได้ แต่ทั้งนี้ ควรตระหนักว่าผิวของคุณจะบอบบางมากในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงการกรอผิวด้วยผงคริสตัล และการผลัดเซลล์ผิว หากคุณเลือกที่จะนวดหน้า ควรเลือกครีมนวดหน้าที่มีกลิ่นไม่แรงมากนัก และควรหาหมอนใบเล็กๆ ไว้รองหลัง เพื่อที่แผ่นหลังของคุณจะได้ไม่ต้องนอนราบลงกับเบาะหรือเก้าอี้นวดหน้าเพราะจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ทำให้คุณมีอาการเวียนหัวได้
แว๊กซ์
บรรดาขนต่างๆ ล้วนเป็นศัตรูอย่างหนึ่งของสตรีเพศค่ะ ไม่ว่าจะขนรักแร้ ขนเหนือริมฝีปาก ขนหน้าแข้ง การแว๊กซ์จึงเป็นทางออกที่ง่าย และเร็ว ซึ่งหากคุณคุ้นเคย และทำมาก่อนที่จะตั้งครรภ์ คุณก็สามารถทำต่อไปได้ แต่ควรระมัดระวังเรื่องสุขอนามัย หากไปทำที่ร้านก็ควรเลือกร้านที่มั่นใจในเรื่องความสะอาด อย่างไรก็ตาม หากคุณแว๊กซ์ในช่วงใกล้คลอด อาจทำให้กล้ามเนื้อมดลูกหดรัดตัว ซึ่งไม่ค่อยปลอดภัยนักหากคุณยังตั้งครรภ์ไม่ครบ37 สัปดาห์ รวมทั้งผิวของคุณแม่อาจมีการระคายเคืองมากขึ้นในช่วงนี้จึงควรระมัดระวังด้วย
แต่งหน้า
คนงามเพราะแต่ง คุณแม่ที่แต่งหน้าอยู่เป็นประจำอาจลืมที่จะคำนึงถึงผลกระทบจากการใช้เครื่องสำอางต่อลูกน้อยในครรภ์ มาดูกันก่อนดีกว่าว่าเครื่องสำอางที่คุณใช้นั้นปลอดภัยจริงหรือเปล่า ผลิตภัณฑ์บางชนิดระบุว่า noncomedogenic หรือ nonacnegenic ซึ่งหมายความว่าปราศจากนํ้ามัน และไม่อุดตันรูขุมขน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ใช้ได้ และไม่เป็นอันตรายต่อลูกในครรภ์ แต่ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ retinol หรือ salicylic acid ซึ่งส่วนใหญ่พบในผลิตภัณฑ์รักษาสิว อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการให้ปลอดภัย 100%
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ลูกไม่กินผัก
ลูกไม่ยอมกินผัก
ทำอย่างไรเมื่อลูกไม่กินผัก
คุณแม่หลายคนคงกังวลใจเรื่องลุกไม่ยอมกินบัง ทั้งพยามบังคับให้ลูกกินบ้างล่ะแต่ทำอย่างไรลูกก็ไม่ยอมกิน เพราะคุณแม่ก็อยากให้ลูกรักได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่องสุขภาพของลูกเราิ วันนี้เรามีวิธีที่จทำให้ลูกกินผัก ทำอย่างไรบ้างดังต่อไปนี้
ทำอย่างไรเมื่อลูกไม่กินผัก
คุณแม่หลายคนคงกังวลใจเรื่องลุกไม่ยอมกินบัง ทั้งพยามบังคับให้ลูกกินบ้างล่ะแต่ทำอย่างไรลูกก็ไม่ยอมกิน เพราะคุณแม่ก็อยากให้ลูกรักได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และดีต่องสุขภาพของลูกเราิ วันนี้เรามีวิธีที่จทำให้ลูกกินผัก ทำอย่างไรบ้างดังต่อไปนี้
1. คุณแม่ต้องคอยสังเกตุว่าลูกชอบกินอะไรอาหารโปรดของลูกหลังจากนั้นก็ให้นำเอาผักลงไปผสมในอาหารที่ลูกชอบกิน
เช่น นำผักลงไปผสมกับน้ำปั่น หรือพิซซ่า แล้วแต่ว่าลูกชอบกินอาหารประเภทไหน
เช่น นำผักลงไปผสมกับน้ำปั่น หรือพิซซ่า แล้วแต่ว่าลูกชอบกินอาหารประเภทไหน
2. ครั้งแรกที่คุณแม่ให้ลูกกินผักลูกอาจจะยังไม่ยอมกิน แต่ต้องไม่เลิกล้มความพยาามให้นำผักมาผสมในเมนูอาหารทุกครั้งจะทำให้ลูกเกิดความเคยชินกับผัก และจะทำทำให้ลูกมีความชอบผักมากขึ้น
3. ให้ลูกช่วยเตรียมอาหาร พยามให้ลูกได้เห็นวิธีทำอาหารหรือให้เขามาช่วยทำอาาร พาเขาออกไปซื้อของด้วยไปเลือกซื้อผัก แล้วก็ให้เขาล้างผักที่ไปซื้อมาเขาอาจจะเกิดความชอบอยากลองกินผักที่ตัวเองเป็นคนเลือกแลเป็นคนล้างเอง
4. คุณแม่ต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นว่าผักน่ากินขนาดไหน ลูกก็จะเห็นตัวอย่างจากคุณแม่และ จะทำให้ลูกอยากลองกินดูว่ารสชาติของผักเป็นรสอย่างไรทำให้เขาอยากรู้ว่าทำไมคุณแม่กินทุกวัน
5. ไม่บังคับให้ลูกกินสิ่งที่เขาไม่ชอบ และทำให้ช่วงกินข้าวเป็นช่วงที่ทรมานสำหรับเด็ก เพราะมันอาจทำให้เขารู้สึกแย่เกี่ยวกับการกินผักและไม่ชอบเวลามื้ออาหาร
6. หลังทำกิจกรรมจนหมดแรง เด็ก ๆ ก็มักกินทุกอย่างที่ขวางหน้า นี่จึงเป็นเวลาดีที่คุณจะให้เขากินอาหารที่มีผักเป็นส่วนประกอบ เช่นน้ำปั่นหรือแซนด์วิช
7. โรยหน้าหรือเสิร์ฟพร้อมดิพแสนอร่อย ราดหน้าผักด้วยเนยหรือซอสก็อาจช่วยเพิ่มรสชาติและสีสันให้ดูน่ากินยิ่งขึ้น คุณอาจเสิร์ฟผักพร้อมดิพแสนอร่อยอย่างมายองเนสหรือน้ำจิ้มอื่น ๆ ที่ลูกชอบ
8. จัดจานให้สร้างสรรค์ เสิร์ฟผักสีสันสดใสคละกัน หั่นผักเป็นรูปร่างต่าง ๆ ตกแต่งด้วยมักกะโรนีรูปสัตว์หรือตัวหนังสือ เพื่อให้เจ้าตัวเล็กรู้สึกสนุกและอยากกินผักมากขึ้น
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ฝึกสมองลูก
ฝึกสมองลูก
ฝึกสมองลูกรัก สมองส่วนความจำของคนเรานั้นสามารถพัฒนาได้ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงวัยสูงอายุเลยทีเดียว ซึ่งวิธีพัฒนาสมองส่วนความจำสามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1.ฝึกให้ลูกเขียนหรือจดสมุดบันทึก คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกจดบันทึกเรื่องราวต่างๆลงในสมุดบันทึกเป็นประจำทุกวัน วิธีนี้จะช่วยฝึกทักษะเรื่องของภาษาในการเขียนและการลำดับเรื่องราวอย่างเป็นขั้นเป็นตอนแล้ว ยังช่วยฝึกให้ลูกรู้จักการรวบรวมความคิดและฝึกการจดจำเรื่องราวต่าง ๆ
2.เล่นเกมกับหรือลูกหาเกมที่พัฒนาความจำฝึกทักษะ เช่น เกมครอสเวิร์ด เกมปริศนาอักษรไขว้ เกมหาคำศัพท์ เกมบิงโก เกมต่อจิ๊กซอว์ เกมเหล่านี้นอกจากจะช่วยเพิ่มความสามารถในการจดจำของสมองเป็นอย่างดีแล้ว
3.ส่งเสริมให้ลูกเล่นดนตรีหรือฟังเพลงเพลงการฟังเพลงจะทำให้เด็กจำเนื้อเพลงได้ช่วยเพิ่มความจำ ดนตรีเป็นสื่อที่นอกจากจะช่วยคลายเครียด พัฒนาความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการให้แก่เด็กแล้ว
4.ฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิเป็นวิธีการที่ดีมากอย่างหนึ่งในการช่วยเพิ่มพลังความจำอย่างได้ผล การทำสมาธิสำหรับเด็กเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องให้เขาฝึกจิตให้สงบด้วยการนั่งสมาธิเอามือประสานกันวางไว้ที่ตักแล้วท่อง การทำสมาธิสำหรับเด็กง่าย ๆ คือหมายถึงการที่เขาได้พักสงบกับตนเอง เช่น การที่เด็กได้นอนหนุนตักคุณพ่อคุณแม่ใต้ต้นไม้อย่างเงียบสงบในเวลาประมาณ15นาที การฝึกสมาธิจะช่วยผ่อนคลายความเครียดและช่วยเตรียมให้สมองได้เปิดรับการเรียนรู้ในสิ่งใหม่ ๆ ได้เป็นอย่างดี
5.รับประทานอาหารที่ช่วยเพิ่มความจำ ให้ลูกได้ทานอาหารที่มีคุณค่าและช่วยเพิ่มความจำ เช่น ผัก ผลไม้ ซึ่งมีวิตามินบีสอง กรดโฟลิค ที่ช่วยป้องกันสมองเสื่อม นอกจากนี้ควรให้ลูกทานเนื้อสัตว์ อาหารทะเล เพราะมีธาตุเหล็กที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้ายในเรื่องของความจำได้
6.การออกกำลังกาย เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในเรื่องของความจำของเด็กได้เป็นอย่างดี เพราะขณะที่เด็กได้เคลื่อนไหวร่างกายไม่ว่าจะเดิน กระโดด วิ่ง จะส่งผลในการกระตุ้นให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ทำให้สมองพร้อมที่จะเปิดรับต่อการจดจำในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
7.นอนหลับพักผ่อน คุณพ่อคุณแม่ควรฝึกให้ลูกนอนอย่างน้อยวันละ7 ชั่วโมง และไม่ควรให้ลูกนอนเกินวันละ 9 ชั่วโมง เพราะการนอนมากทำให้ความตื่นตัวน้อยลงและทำให้ลูกเกิดความซึมเซา ซึ่งมีผลทำให้ประสิทธิภาพของความจำลดน้อย
วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
อาหารบำรุงครรภ์
อาหารบำรุงครรภ์สำหรับคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ รับประทานอาหารที่มมีประโยชน์ ทั้งคุณค่าทางอาหารที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจะช่วยไปบำรุงสมองลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ดังนั้นคุณก็ต้องรับประทานอาหารที่มีประโยช์และมีคุณค่าทางอาหารที่สูง
อาหารบำรุงครรภ์ มีดังนี้
อาหารบำรุงครรภ์ มีดังนี้
อาหารบำรุงครรภ์
1. โปรตีน จะมีมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เช่น ปลา นม ไข่ รวมถึงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง เป็นต้น
2 คาร์โบไฮเดรต พบในข้าว ขนมปัง ธัญพืช พาสตา ผลไม้ น้ำตาล และน้ำผลไม้สด
3.ธาตุเหล็ก: มีมากในงา ตับสัตว์ เนื้อแดง ไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ
4. ไอโอดีน เกลือเสริมไอโอดีน อาหารทะเล เช่น ปลาทะเล กุ้ง หอย ปลาหมึก สาหร่ายทะเล ฯลฯไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ
5.โฟเลต ช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท และไขสันหลังให้เจ้าตัวเล็กในครรภ์แหล่งโฟเลต พบมากในตับสัตว์ บร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม และแคนตาลูป
6.โอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเราสร้างเองไม่ได้ ช่วยบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำ และสายตา แหล่งโอเมก้า 3 :พบมากในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาโอ ปลาทู ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล ฯลฯ
7. วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมองลูก ถ้าได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้สมองของทารกมีขนาดเล็ก แหล่งวิตามินบี 2 มีมากในนม ไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ และโยเกิร์ต
8. วิตามินบี 6 ช่วยในการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท
แหล่งวิตามินบี 6 พบมากในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง และกล้วย
9. วิตามินบี 12 ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม และช่วยให้การทำงานของสมองและประสาทให้เป็นปกติ
แหล่งวิตามินบี 12 พบมากในอาหารประเภท ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ นม และหอยนางรม
1. โปรตีน จะมีมากในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ทุกชนิดและผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เช่น ปลา นม ไข่ รวมถึงถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง เป็นต้น
2 คาร์โบไฮเดรต พบในข้าว ขนมปัง ธัญพืช พาสตา ผลไม้ น้ำตาล และน้ำผลไม้สด
3.ธาตุเหล็ก: มีมากในงา ตับสัตว์ เนื้อแดง ไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ
4. ไอโอดีน เกลือเสริมไอโอดีน อาหารทะเล เช่น ปลาทะเล กุ้ง หอย ปลาหมึก สาหร่ายทะเล ฯลฯไข่แดง ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักโขม ฯลฯ
5.โฟเลต ช่วยสร้างเซลล์สมอง ระบบประสาท และไขสันหลังให้เจ้าตัวเล็กในครรภ์แหล่งโฟเลต พบมากในตับสัตว์ บร็อกโคลี่ หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม และแคนตาลูป
6.โอเมก้า 3 เป็นกรดไขมันจำเป็นไม่อิ่มตัวชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายของเราสร้างเองไม่ได้ ช่วยบำรุงเซลล์สมอง เพิ่มประสิทธิภาพความจำ และสายตา แหล่งโอเมก้า 3 :พบมากในปลาทะเล เช่น ปลาทูน่า ปลาโอ ปลาทู ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล ฯลฯ
7. วิตามินบี 2 ช่วยในการเจริญเติบโตและการพัฒนาสมองลูก ถ้าได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอ อาจทำให้สมองของทารกมีขนาดเล็ก แหล่งวิตามินบี 2 มีมากในนม ไข่แดง เนื้อสัตว์ ตับ และโยเกิร์ต
8. วิตามินบี 6 ช่วยในการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของสมองและระบบประสาท
แหล่งวิตามินบี 6 พบมากในเนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าวโอ๊ต มันฝรั่ง และกล้วย
9. วิตามินบี 12 ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อม ความจำเสื่อม และช่วยให้การทำงานของสมองและประสาทให้เป็นปกติ
แหล่งวิตามินบี 12 พบมากในอาหารประเภท ตับ เนื้อสัตว์ ไข่ นม และหอยนางรม
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ประโยชน์ของนมแม่
ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
การเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่นั้นถือเป็นเป็นอาหารที่มีคุณประโยชน์สูงสุดต่อตัวลูกและตัวของคุณแม่เอง การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่จะช่วยเติมเต็มความต้องการของลูกเราได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสารอาหาร ภูมิต้านทานโรค ความผูกพันระหว่างแม่และลูก ข้อดีของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีมากหมายหลายข้อ
น้ำนมแม่เป็นอาหารที่ดีที่สุดที่ลูกต้องการสำหรับในช่วง 6 เดือนแรกของการเริ่มต้นชีวิต เนื่องจากมีสารอาหารพิเศษที่เรียกว่าพรีไบโอติก ซึ่งเป็นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ ช่วยส่งเสริมแบคทีเรียสุขภาพที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ในระบบทางเดินอาหารให้เจริญเติบโตดีจึงช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันตามธรรมชาติให้กับร่างกายเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อ และส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหารที่ดีช่วยให้ทารกเติบโตขึ้นอย่างมีความสุข สุขภาพดีและพร้อมที่จะเรียนรู้ทุกสิ่งรอบตัว และยังมีกรดไขมันที่ช่วยพัฒนาสมองของลูกด้วย
ประโยชน์ของการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่มีมากมายขอยกตัวอย่างมา 10 ข้อ ดังต่อไปนี้
1.นมแม่เป็นสารอาหารที่มาจากธรรมชาติ ปลอดภัยต่อลูกของเราที่สุด จะหานมอะไรที่ปลอดภัยและได้สารอาหารที่ร่างกายต้องการเทียบเท่านมแม่ไม่มีอีกแล้ว ต่อให้เทคโนโลยีของมนุษย์จะก้าวไกลไปแค่ไหน ก็ไม่อาจจะเลียนแบบนมสังเคราะห์ใดๆ หรือนมจากสัตว์อื่นๆ ที่ทั้งปลอดภัย และมีสารอาหารได้เสมอเหมือนนมแม่อีกแล้วในโลกนี้
2.เด็กที่เติบโตมาจากการกินนมแม่ แข็งแรงกว่าเด็กที่กินนมวัว เพราะในน้ำนมแม่ทุกหยด กลั่นมาจากภายในร่างกายของแม่เอง ภูมิต้านทานต่างๆ ในตัวของแม่ จะถูกถ่ายทอดผ่านน้ำนม เมื่อลูกได้กินนมแม่ก็จะได้รับภูมิต้านทานต่างๆ ไปด้วย ซึ่งนมวัวหรือนมสังเคราะห์อื่นๆ จะไม่มี ภูมิต้านทาน
3.ลดปัญหาลูกท้องผูกเพราะนมแม่นั้นย่อยง่าย ทำให้ลูกไม่ต้องทรมานกับอาการท้องผูก แต่หากลูกของเรากินนมวัวหรือนมประเภทอื่นจะพบปัญหาท้องผูกได้มากกว่า
4.ลดปัญหาเรื่องลูกอ้วนเกินไป เคยเห็นเด็กทารกตัวอ้วนจ้ำหม้ำน่ารักใช่ไหมค่ะ แต่บ่อยครั้งเด็กแรกเกิดที่เราเห็นอ้วนจ้ำหม้ำน่ารักนั้นก็มีน้ำหนักตัวเกินมาตราฐาน สาเหตุมาจากการเลี้ยงลูกด้วยนมวัวหรือนมสังเคราะห์ชนิดอื่นๆ นั้นเอง ในขณะที่การ เลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น ลูกของเราจะไม่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวเกินเลย น้ำหนักตัวของลูกจะเป็นไปตามมาตราฐานของเด็กในแต่ละวัยแบบธรรมชาติ
5.ลดโอกาสเกิดผื่นผ้าอ้อมน้อยกว่า ผื่นผ้าอ้อมเกิดจากความอับชื้น และเกิดปฏิกริยาของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งกรณีที่เราเลี้ยงลูกด้วยนมวัวนั้น ของเสียของลูกจะมีเชื้อแบคทีเรียมากกว่า เมื่อมารวมกับความอับชื้น (จากการใส่ผ้าอ้อม) ผิวของลูกจะเกิดอาการ ผื่นแดงๆ (จึงเรียกว่าผื่นผ้าอ้อม) ซึ่งหากเราเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ ของเสียของลูกจะมีเชื้อแบคทีเรียน้อยกว่ามาก โอกาสที่ลูกจะต้องทรมานกับอาการผื่นผ้าอ้อมก็จะลดลงด้วย
6.สานสัมพันธ์ระหว่างแม่และลูก การให้ลูกได้ดูดนมจากอกแม่เอง เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย มีแต่แม่ที่เคยให้ลูกดูดนมจากอกตัวเองเท่านั้นถึงจะบรรยายความรู้สึก ความสุขใจ ที่เกิดขึ้นในตัวของแม่คนนั้นได้เอง นอกจากนั้นตลอดเวลาที่ลูกดูดนม จากอกแม่ ลูกก็จะมองหน้าแม่ของตัวเอง ซึ่งช่วงเวลาที่ให้นมลูกนั้น เป็นช่วงเวลาที่ทรงคุณค่าที่สุด เพราะแม่ลูกจะได้สบตา ได้พูดคุย ได้แสดงความรักต่อกัน ทำให้ลูกสามารถรับรู้ได้ว่าแม่ของเขารักเขามากแค่ไหน นอก จากนั้นการที่ลูกดูดนมจากอกของแม่บ่อยๆ จะทำให้ลูกจำกลิ่น เสียง หน้าตา และสัมผัสต่างๆ ของแม่ได้เร็วกว่าเด็กที่กินนมจากขวดนม
7.ร่างกายของแม่จะผอมเร็ว หลังจากคลอดลูก ร่างกายของคุณแม่แม้ว่าจะน้ำหนักลงไปบ้าง แต่ระบบภายใน รวมถึงมดลูกอาจจะยังไม่เข้าที่เท่าที่ควร การเลี้ยงลูกโดยให้ลูกดูดนมแม่จากอกนั้น จะช่วยกระตุ้นร่างกายของแม่ให้หลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่ง (ซึ่งจะออกมาเฉพาะตอนที่ให้ลูกดูดนมแม่เท่านั้น) โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะช่วยให้มดลูกหดตัวเข้าที่ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นการที่ร่างกายต้องผลิตนมแม่จะช่วยเผาผลาญไขมันต่างๆ ตามหน้าท้องออกไปด้วย ทำให้รูปร่าง ของแม่ที่เพิ่งคลอดลูก กลับมาผอมเพรียวได้เร็วกว่าแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยนมวัว โดยเฉลี่ยแล้วการที่เลี้ยงลูกเอง ให้ลูกกินนมจากอกแม่เอง น้ำหนักตัวของแม่จะลดลงเฉลี่ยเดือนละ 1-2 กิโลกรัม ซึ่งหากเราให้ลูกกินนมแม่ตลอด 6 เดือนแรกหลังคลอด น้ำหนักตัวและรูปร่างของคุณแม่ก็จะเข้ารูปและเกือบจะกลับมาเป็นปกติ
8.เป็นอาหารที่สะดวกที่สุดสำหรับลูกตลอด 24 ชม.นมแม่เป็นแหล่งเติมพลังของลูกน้อยของเราที่สามารถให้ลูกกินได้ตลอด 24 ชม. เมื่อไรที่ลูกหิว เราก็สามารถให้ลูกกินนมจากอกของเราได้ทันที ไม่ต้องพกขวด น้ำร้อน นมผง ฯลฯ ให้ยุ่งยาก สะดวกและรวดเร็วทันใจ ลูกที่สุดแล้วละค่ะ
9.พร้อมดื่มได้ตลอดจากอกแม่ คุณสมบัติที่พิเศษที่หานมอื่นๆ ในโลกนี้ไม่ได้อีกแล้วนั้นคือ การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่นั้น แม่ไม่ต้องกังวลว่านมแม่นั้นจะร้อนเกินไป หรือเย็นเกินไปสำหรับลูก เพราะนมแม่ที่ออกมาจากเต้านั้น จะมีอุณหภูมิที่พอเหมาะกับ ลูกของเราทันที หากเลี้ยงลูกด้วยนมวัว เราคงต้องตรวจสอบก่อนเสมอว่านมที่ผสมนั้นจะร้อนเกินไปหรือเย็นเกินไปหรือไม่
10.ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ค่านมผงชนิดต่างๆ นั้น ปัจจุบันราคาสูงมากขึ้น ไหนจะค่าขวดนม ค่าน้ำยาล้างขวดนม อุปกรณ์ล้างขวดนม ฯลฯ ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะหมดไปหากเราเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแม่ เพราะนมแม่กลั่นมาจากร่างกายของแม่เอง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมใดๆ
นมแม่จะมีมากหรือน้อย จะมีภูมิต้านทานมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการรับประทานอาหาร การพักผ่อน และอารมณ์ของแม่เป็นหลัก หากคุณแม่ดูแลร่างกายอย่างดี กินอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพอเพียง และบริหารอารมณ์ตัวเองให้ดี อยู่เสมอๆ ก็จะมีนมแม่มากพอให้ลูกของเรากิน จะเห็นว่านมแม่นั้นปลอดภัยกับลูกของเราที่สุดในโลกและยังมีข้อดีอีกหลายอย่าง
อาหารสำหรับเด็กอ่อน
อาหารสำหรับเด็กอ่อน
อาหารเด็กอ่อน
นอกจากนมแม่หลังจากที่ลูกน้อยอายุครบ 4-6 เดือนแล้วก็จะป้อนอาหารให้ลูกน้อย ซึงในช่วงนี้กระเพาะอาหารของลูกน้อยสามารถย่อยอาหารแข็งได้
อาหารสำหรับลูกน้อยที่ให้คุณค่าทางอาหารและบำรุงสองของลูกน้อยมีดังนี้
1.ไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ด ประกอบไปด้วยปรตีน วิตามินเอ และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับลูกน้อย
2.ตับ คุณแม่สามารถให้ลูกน้อยทานได้ทั้งตับไก่ ตับหมู เพราะตับอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกบินซึ่ง
เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ตับยังมีโปรตีน วิตามิน เอ และ บี
3.ผัก ควรเลือกผักที่มีสี ผักสีส้ม ผักใบเขียว พราะผักแต่ละสีก็ให้วิตามินที่แตกต่างกัน เช่น ตำลึง ฟักทอง แครอท เป็นต้น ผักจะช่วยให้ลูกขับถ่ายได้ดีขึ้น เพราะมีกากใยอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับผลไม้ควรเลือกผลไม้ชนิดนิ่มๆ ก่อน เพื่อให้ลูกทานได้ง่าย เช่น กล้วยน้ำว้า ส้มเขียวหวาน เป็นต้นหากคุณแม่ไม่ต้องการให้ลูกทานรสหวานมากเกินไปไม่ควรเลือกผลไม้ที่สุกงอมมากๆ เพราะผลไม้ที่สุกมากๆ
4.เนื้อสัตว์ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา ล้วนอัดแน่นไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามิน โดยเฉพาะเนื้อปลาที่มี DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยบำรุงสมอง
5.ผลไม้ สำหรับผลไม้ควรเลือกผลไม้ชนิดนิ่มๆ ก่อน เพื่อให้ลูกทานได้ง่าย เช่น กล้วยน้ำว้า ส้มเขียวหวาน เป็นต้นหากคุณแม่ไม่ต้องการให้ลูกทานรสหวานมากเกินไปไม่ควรเลือกผลไม้ที่สุกงอมมากๆ เพราะผลไม้ที่สุกงอกมากๆ มักจะมีรสหวาน และการให้ลูกทานอาหารตามวัยเมื่ออายุครบ 6 เดือน
อาหารเด็กอ่อน
นอกจากนมแม่หลังจากที่ลูกน้อยอายุครบ 4-6 เดือนแล้วก็จะป้อนอาหารให้ลูกน้อย ซึงในช่วงนี้กระเพาะอาหารของลูกน้อยสามารถย่อยอาหารแข็งได้
อาหารสำหรับลูกน้อยที่ให้คุณค่าทางอาหารและบำรุงสองของลูกน้อยมีดังนี้
1.ไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ด ประกอบไปด้วยปรตีน วิตามินเอ และแร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับลูกน้อย
2.ตับ คุณแม่สามารถให้ลูกน้อยทานได้ทั้งตับไก่ ตับหมู เพราะตับอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกบินซึ่ง
เป็นส่วนประกอบสำคัญของเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ตับยังมีโปรตีน วิตามิน เอ และ บี
3.ผัก ควรเลือกผักที่มีสี ผักสีส้ม ผักใบเขียว พราะผักแต่ละสีก็ให้วิตามินที่แตกต่างกัน เช่น ตำลึง ฟักทอง แครอท เป็นต้น ผักจะช่วยให้ลูกขับถ่ายได้ดีขึ้น เพราะมีกากใยอยู่เป็นจำนวนมาก สำหรับผลไม้ควรเลือกผลไม้ชนิดนิ่มๆ ก่อน เพื่อให้ลูกทานได้ง่าย เช่น กล้วยน้ำว้า ส้มเขียวหวาน เป็นต้นหากคุณแม่ไม่ต้องการให้ลูกทานรสหวานมากเกินไปไม่ควรเลือกผลไม้ที่สุกงอมมากๆ เพราะผลไม้ที่สุกมากๆ
4.เนื้อสัตว์ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อปลา ล้วนอัดแน่นไปด้วยโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามิน โดยเฉพาะเนื้อปลาที่มี DHA ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดจำเป็นต่อร่างกาย ช่วยบำรุงสมอง
5.ผลไม้ สำหรับผลไม้ควรเลือกผลไม้ชนิดนิ่มๆ ก่อน เพื่อให้ลูกทานได้ง่าย เช่น กล้วยน้ำว้า ส้มเขียวหวาน เป็นต้นหากคุณแม่ไม่ต้องการให้ลูกทานรสหวานมากเกินไปไม่ควรเลือกผลไม้ที่สุกงอมมากๆ เพราะผลไม้ที่สุกงอกมากๆ มักจะมีรสหวาน และการให้ลูกทานอาหารตามวัยเมื่ออายุครบ 6 เดือน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

